สงครามที่ไม่หลั่งเลือด!!!


เพิ่มเพื่อน    

      ช่วงระยะนี้...ดูเหมือนว่าข่าวสาร-การเมืองบ้านเรา จะหนักไปทางเรื่องของคุณน้อง ฟ้ารักพ่อ ซะเป็นหลักใหญ่ ซึ่งออกจะเป็นอะไรที่อ่วมอรทัยกาญจนชูศักดิ์อยู่พอสมควร สำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่าคนหนุ่ม หรือ คนรุ่นใหม่ คือยังไม่ทันได้แกะโฟม แกะกล่อง ในการตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางการเมือง ก็ต้องเจอกับสากกะเบือ รองเท้าแตะ เก้าอี้บิน สาดซัดเข้าใส่อย่างชนิดเซ็นเซอร์ราวด์ ระดับรอบทิศ รอบทาง...

                                                                 -----------------------------------------------------

      แต่ทำไงได้ล่ะทั่น...เพราะขึ้นชื่อว่า การเมือง ซะอย่าง!!! มันคงต้องออกไปในแนวนี้นั่นแหละ อย่างที่ปรมาจารย์ทางการเมืองท่านประธาน เหมา เจ๋อตง ท่านเคยให้คำนิยามเอาไว้นั่นแหละว่า สงครามคือการเมืองที่หลั่งเลือด ส่วน การเมืองคือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด อะไรประมาณนั้น คือถึงไม่หลั่งเลือด แต่หนีไม่พ้นต้องหลั่งเหงื่อ หลั่งน้ำมูก หลั่งน้ำตา ไปจนถึงน้ำอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะมากมาย ยิ่งโดยเฉพาะถ้าหากมีวาสนา บารมี มีสถานะทางการเมืองสูงยิ่งขึ้นไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแต่หนาวว์ว์ว์กับหนาวว์ว์ว์ ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...

                                                                  ------------------------------------------------------

      คือถ้าหากคุณน้อง ฟ้ารักพ่อ ท่านได้ ส.ส.ติดไม้ ติดมือ มาซักราย สองราย...อาจไม่ถึงกับหนักเท่านี้ก็เป็นได้ แต่นี่ท่านดันคว้า ดันแลนด์สไลด์ แอฝะลานช์ กันมาระดับ 50-60 ราย ทั้งที่กลิ่นน้ำนมยังไม่ทันหมดไปจากปาก ทั้ง อองตวน และ โรเบสปิแอร์ เลยต้องหนักหน่อย อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ ต้องกลายสภาพเป็นเป้าหมาย เป็นสิ่งยั่วยวนกวนส้นตีน ให้ใครต่อใครก็แล้วแต่ ที่อยากจะชิมส้นตีนนัก...อยากจะชิมส้นตีนหนา โดยแทบไม่ต้องไปออกแรง กวนตีน เหมือนแต่ก่อน สากกะเบือบิน รองเท้าแตะ เก้าอี้บิน มันถึงได้ไหลมา เทมา ในแทบทุกทิศ ทุกทาง...

                                                                    -----------------------------------------------------

      เมื่อเจอเข้ากับฉากสถานการณ์ทำนองนี้...เฉพาะความหนุ่ม ความใหม่ มันอาจไม่ได้ช่วยอะไรมากมายซักเท่าไหร่ ตรงกันข้ามอาจยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งทรุดหนักลงไปอีก ด้วยเหตุเพราะความร้อน ความแรง ความไว อันเป็นคุณลักษณะติดตัวของบรรดาคนหนุ่ม หรือคนในวัยฉะกัน (ฉกรรจ์) ทั้งหลาย มีแต่ต้องอาศัยความแก่ ความเก่า หรือความ เก๋า นั่นแหละ ถึงอาจพอประคับประคองตัวเอง เด้งเชือก ฉากหลบ ตัดเวทีออกมาเต้นยอกๆ แยกๆ ได้มั่ง แม้หวุดๆ หวิดๆ ยังไงก็ตามที แต่ก็แปลก!!!...ที่ในกลุ่มก้อน องค์กร ของคุณน้อง ฟ้ารักพ่อ กลับแทบไม่ได้มีโอกาสเห็นหน้า เห็นตา คนแก่ คนชราใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย...

                                                                  -------------------------------------------------------

      ส่วนใหญ่...ก็มีแต่ต้องเห็นแต่ใบหน้าของ อองตวน กับ โรเบสปิแอร์ นั่นแหละเป็นหลัก ทั้งๆ ที่คนแก่ คนชรา ภายในพรรค ในกลุ่มก้อน องค์กร น่าจะพอเหลือๆ อยู่มั่ง แต่จะเป็นเพราะไม่ถูก นับญาติ หรือไม่ถือเป็นลุง เป็นพี่-ป้า-น้า-อา หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ ประเภท พลโท อะไรซักรายหนึ่ง ที่แม้จะ ทู่ ไปนิด แต่ก็ยังพอดูเป็นผู้หลัก-ผู้ใหญ่ หรือยังพอมี สติ อยู่บ้าง หรืออาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชื่ออะไรก็จำไม่ได้ซะแล้ว ที่ตอนยังไม่ได้เข้าสังกัดทางการเมือง ก็ดูจะมีความคิด ความอ่านที่ละเอียด รอบคอบ อยู่บ้างเหมือนกัน ฯลฯ แต่บรรดาคนแก่ คนชราเหล่านี้ กลับ หายหัว ไปที่ไหนก็ไม่รู้ ปล่อยให้ อองตวน กับ โรเบสปิแอร์ ออกมารับสากกะเบือบิน รองเท้าแตะ เก้าอี้บิน แบบชนิดไม่ต่างจากต้องปอกกล้วยในบ้านร้างอยู่ตามลำพัง...

                                                                     ------------------------------------------------------

      อันนี้นี่แหละ...มันเลยต้องหนักกับหนัก ต้องหลั่งเหงื่อ หลั่งน้ำมูก น้ำตา เพราะสงครามที่ไม่หลั่งเลือด อย่างอเนจอนาถ เวทนาและน่าเห็นอก เห็นใจ อยู่ไม่น้อย ยิ่งโดยบุคลิกลักษณะของ อองตวน นั้น ออกจะเป็นอะไรที่ขัดแย้ง แปลกแยก กับหลักการของ โรเบสปิแอร์ อยู่พอสมควร คือออกไปทางชอบพูดไป-ยิ้มไป ทั้งที่ โรเบสปิแอร์ ท่านเคยสรุปเอาไว้ชัดเจนว่า ใครที่ชอบยิ้มบ่อยๆ มักหนักไปทางประเภทไม่มีม้าม มีกึ๋น ไม่มีอะไรเป็นตัวของตัวเองอะไรประมาณนั้น ดังนั้น...เมื่อ อองตวน ดันพูดไป-ยิ้มไป มันก็เลย อีซซี่ พาส พังกันไปเป็นแถบๆ ด้วยประการละฉะนี้...

                                                                     ---------------------------------------------------------

      สรุปรวมความแล้ว...ถ้าว่ากันตามประสามนุษย์มนาด้วยกันแล้ว ภายใต้สภาพเช่นนี้ออกจะเป็นอะไรที่น่าเห็นอก เห็นใจ ต่อชะตากรรมของคนหนุ่ม คนรุ่นใหม่ เหล่านี้อยู่พอสมควร ที่อาจประสบความสำเร็จทางการเมืองรวดเร็วไปหน่อย จนสิ่งที่เรียกว่า สติ และ วุฒิภาวะ มันอาจวิ่งตามไม่ค่อยจะทัน เมื่อต้องเจอกับกฎ กติกา ที่แข็งทื่อปานประดุจไม้หน้าสาม กิ้งกือก็เลยต้องตกท่อไปโดยปริยาย แต่ก็อย่าถึงกับต้องไปสะอก สะใจ อะไรมาก เพราะ การเมือง ที่มันจะช่วยให้ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ทุกชนชั้น ทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าเก่าหรือใหม่ มีโอกาสที่จะ อยู่ร่วมกันโดยสันติ ได้นั้น มันคงต้องเป็นการเมืองที่มีความ ยืดหยุ่น อยู่พอสมควร และอย่างน้อย...คนหนุ่ม คนรุ่นใหม่ ที่อยู่ภายในกลุ่มก้อน องค์กร ของ ฟ้ารักพ่อ ก็ใช่ว่าจะต้องมีลักษณะอาการในแบบเดียวกันไปทั้งหมด ประเภทที่ยกขบวนมาสมัครเป็นสมาชิก จิตอาสา ก็ยังพอเห็นๆ กันอยู่มิใช่น้อย...

                                                                     -------------------------------------------------------

      ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Confucius... Mens natures are alike; it is their habits that carry them far apart.- ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเหมือนกัน อุปนิสัย-ใจคอของมนุษย์ต่างหาก ที่ทำให้เขาแตกต่างกัน...

                                                                      -------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"