พระพรหมมังคลาจารย์ (ปั่น ปทุมุตฺตโร) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ท่านเป็นที่รู้จักในฐานะพระสงฆ์ผู้ปฏิรูปแนวทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ไทย แม้ท่านจะมรณภาพไปแล้วตั้งแต่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2550 แต่ชาวพุทธยังคงระลึกถึงท่านเสมอ อันเนื่องจากหลวงพ่อปัญญาฯ คือผู้อุทิศชีวิตให้แก่การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจนวาระสุดท้ายของชีวิต
เรื่องราวเกี่ยวกับหลวงพ่อปัญญาฯ มีมากมาย บ้างก็รับรู้ในวงกว้าง บ้างก็ไม่แพร่หลายนัก อันเนื่องมาจากกาลเวลา เมื่อคราวที่พายุโซนร้อนแฮเรียตมาถึงฝั่งแหลมตะลุมพุก จังหวัดนครศรีธรรมราช ด้วยความเร็วลมราว 97 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมด้วยสตอร์มเซิร์จในช่วงกลางดึกของวันที่ 25 ตุลาคม 2505 สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ประชาชนล้มตายเป็นจำนวนมาก
หลังจากนั้นวันที่ 5 ธันวาคม 2505 มีปาฐกถาสงเคราะห์ของท่านภิกขุปัญญานันทมุนี วัดชลประทานรังสฤษฏ์ เกี่ยวกับการเกิดเหตุวาตภัยในครั้งนั้น ซึ่งสะท้อนถึงสภาพบ้านเมืองช่วงเวลานั้นด้วยเช่นกัน
...แต่ก็อุ่นใจอยู่หน่อยหนึ่งว่า เมื่อได้อ่านหนังสือพิมพ์ ได้ฟังข่าววิทยุกระจายเสียงว่าชาวพระนครกรุงเทพฯ เรานี้มีใจที่เป็นบุญเป็นกุศลกันมาก ได้ส่งเงินสมทบโดยเสด็จพระราชกุศล ส่งที่สถานี อ.ส. บ้าง ที่กรมประชาสงเคราะห์บ้าง กระทรวงมหาดไทยบ้าง ตามอำเภอต่างๆ บ้าง ได้มีการส่งทยอยกันไปเรื่อยๆ ยอดแห่งการสงเคราะห์ซึ่งทางราชการได้จัดไว้แล้วนั้นจำนวนเข้าไปถึงสองล้านเข้าไปแล้ว
อาตมาฟังแล้วก็รู้สึกชื่นใจในยอดที่เขากำลังช่วยเหลือกัน แต่ก็ยังเป็นทุกข์ว่าสิ่งเหล่านั้นจะรับแจกจ่ายกันทั่วถึงหรือไม่ เพราะว่าเด็กที่รับทุกข์ภัยอันตรายนั้นคงจะไม่มีแห่งเดียว แต่อาจจะมีหลายแห่ง เพราะดูรายการที่มีความเสียหายนั้น ไม่เฉพาะแต่อำเภอปากพนังเท่านั้น อำเภอท่าศาลา อำเภอสิชล อำเภอลานสกา ซึ่งข้าพเจ้าเคยไปเที่ยวเทศนามาแล้วเกือบทุกแห่งก็มี
ข้าพเจ้ามองเห็นภาพ เช่นในอำเภอท่าศาลา อำเภอสิชล ห่างทะเลเข้าไปหน่อยเขาก็มีสวนยาง สวนหมาก สวนมะพร้าว ได้ข่าวว่ายางก็ล้มไป มะพร้าวก็ล้มไป หมากก็ล้มไป ไม่ล้มเปล่าเสียด้วย แต่ล้มทับเรือนคน แล้วในเรือนนั้นก็มีคนอยู่ด้วยเหมือนกัน คนถึงแก่ความตายไป ถ้าเด็กน้อยตาย พ่อแม่อยู่ก็ไม่น่าสงสารอะไรเท่าใด คนแก่อยู่เขาก็เลี้ยงตัวได้ แต่พ่อแม่ตาย เด็กน้อยอยู่เป็นเรื่องที่น่าสงสารเห็นอกเห็นใจ เด็กเหล่านั้นจะเป็นคนกำพร้าอนาถา ไร้ที่พึ่งที่อาศัยต่อไปในกาลข้างหน้า
ข้าพเจ้านึกถึงภาพเหล่านั้นแล้วก็มีความวิตกกังวลห่วงใยอยู่เหมือนกัน ว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้ช่วยเขาเหล่านั้น ครั้นเมื่อได้ทราบข่าวว่า สหภูมิภาคทักษิณ คือภิกษุสามเณรอันมาศึกษาอยู่ในกรุงเทพฯ ได้รวมกันเข้าไปประชุมที่วัดสุทัศน์ ที่คณะ ๑๕ เพราะที่นั่นก็มีพระชาวปักษ์ใต้อยู่ ได้ปรึกษาหารือกันว่าเราจะเพิกเฉยอยู่ไม่ได้ เราควรจะมีการเคลื่อนไหวหาทุนรอนไปสงเคราะห์แก่คนเหล่านั้นบ้างตามประสาที่พอจะหากันได้ พระในที่ประชุมนั้นก็ได้โทรศัพท์ไปที่ข้าพเจ้าวัดชลประทานฯ บอกว่า ให้มีการแสดงปาฐกถา อาตมาก็บอกว่าไม่ขัดข้องอะไร...
...มานึกอีกทีหนึ่งในแง่ธรรมะว่า คนแหลมตะลุมพุกนี่ตายมากเพราะอะไร? อ๋อ!...คนเหล่านี้หากินทางการประมง กินปลามานานแล้ว ถึงบทที่มันจะต้องเปลี่ยนสังสารวัฏกันมั่ง ปลาต้องกินคนมั่งละ คนกินปลามาหลายปี ทีนี้พวกนั้นแหละตายมากกว่าเพื่อน เพราะหาปลาทั้งนั้น นี่มันผลัดกัน นึกถึงกรรมของพระพุทธเจ้าก็พอปลงใจไป แต่ว่ายังสงสารลูกของคนเหล่านั้น ที่กำพร้าพ่อแม่ เด็กที่ไม่มีพ่อแม่เป็นเด็กที่ลำบากเต็มทีนะ ถ้าหากไม่มีใครช่วยเหลือจะเอาตัวไม่รอด เป็นเรื่องที่น่าสงสารสิ่งเหล่านี้อยู่ จึงว่าควรที่จะได้มีการช่วยเหลือเจือจุนคนเหล่านั้นเท่าที่เราจะสามารถช่วยเขาได้ ช่วยพอให้เขาอยู่ได้ ไม่ใช่ช่วยมากเกินไป แต่ก็คงไม่เหลือวิสัย
เวลานี้ อาตมาฟังข่าวดูการช่วยเหลือ ส่วนมากมาจากห้างร้าน บริษัท...บริษัทขายยาห้างโน้นห้างนี้ สถานทูตประเทศต่างๆ อาตมาฟังข่าวแล้วนึกสงสัยประหลาดใจเหมือนกันว่า ทูตรัสเซียนี่ไม่เห็นแสดงความเสียใจเลย ทูตรัสเซียน่ะโยมอ่านเจอไหม วิทยุก็ไม่เห็นบอกนี่ ทูตญี่ปุ่น ทูตจีนคณะชาติ ทูตเกาหลี ทูตอังกฤษ ทูตฝรั่งเศส ทูตเยอรมัน ทูตอะไรมีทุกประเทศ ทูตอินเดียก็มี อินเดียเวลานี้เขากำลังเดือดร้อนเหมือนกัน แต่ทูตอินเดียก็ยังเห็นใจไทย ยังอุตส่าห์ส่งข่าวแสดงความเห็นใจ เรี่ยไรเงินในสถานทูตส่งมาช่วยเหลือประเทศเล็กประเทศน้อย อาร์เจนตินาก็ยังมี ประเทศเล็กๆ ในอเมริกาใต้ อุตส่าห์ส่งมา แต่รัสเซียนี่ยังไม่เห็นมี
ถ้ารัสเซียก็คงจะใจดี ทูตรัสเซียก็คงจะนอนยิ้มว่า เออ! ดีแล้วเกิดระส่ำระสายกันเสียหน่อย บ้านเมืองมันจะได้ยุ่ง จะได้เอาคอมมิวนิสต์ใส่เข้าไป พวกคอมมูนิสต์นี่ไม่เห็นใจใครแต่กลับดีใจ จึงยังไม่แสดงความเสียใจอะไรออกมา อาตมาดูหนังสือพิมพ์ยังไม่เจอ ถ้าโยมเจอละช่วยบอกด้วย เผื่อจะได้แก้เขาหน่อย เป็นอย่างนี้ เรื่องเดือดร้อนลำบากนี่ คนเขารักเขาชอบกันเขาช่วยกัน แต่คนไม่รักไม่ชอบกันคงจะว่าอย่างนั้น
ประเทศกัมพูชาก็เหมือนกัน แหม!...วิทยุออกอากาศใหญ่โตเชียวว่า สมน้ำหน้าแล้วล่ะ เมืองไทยน่า รังแกประเทศกัมพูชา ลมมันถึงลงโทษให้ถึงแก่ความตายไป คนที่พูดวิทยุคนนั้นน่ะ คงจะเป็นคนไม่มีศาสนา ไม่มีศีลธรรมประจำใจ ไม่ได้เห็นอกเห็นใจใคร เขาให้พูดก็พูดเท่านั้นเองแหละ คนไทยเราว่าผีเปิดปากให้พูด พูดไปเรื่อยยังงั้นเองแหละ พูดออกมาได้ ความจริงควรจะบอกว่า เออ!...น่าสงสารคนไทยนะ เรามันคนเมืองใกล้กัน นับถือพุทธศาสนาด้วยกัน สัพเพ สัตตา อเวรา โหนตุ อัพยาปัชฌา ภาวนาเสียบ้างก็ยังชั่วหน่อย แต่นี่เขาไม่ได้ภาวนา คิดแต่เรื่องว่าจะทำให้ไทยเดือดร้อนเรื่อยไป น่าเห็นใจเหมือนกัน แล้วก็เป็นคนน่าสงสาร น่าสงสารที่ไม่มีธัมมะธัมโมกันเสียเลย ยังงั้นน่าสงสารนะโยมนะ
น่าสงสารมากกว่าพวกที่ถูกน้ำท่วมไปเสียอีก เพราะพวกนี้ใจมันท่วมด้วยกิเลส น้ำท่วมก็ดี ลมพัดแรงก็ดี ยังไม่น่ากลัว สงสารคนที่ลำบากก็จริง แต่ว่าสิ่งที่น่ากลัวมากไปกว่านั้น ก็คือภัยที่เกิดจากกิเลส เป็นวาตภัยชนิดร้ายแรง ลมในใจเรานี่นะเขาเรียกว่า ลมกิเลส ลมร้อนก็มีนะ ลมเย็นก็มี ลมพัดเอื่อยๆ มาก็มี ลมชนิดโหมแรงมาก็มี บางทีก็พัดจัด เขาเรียกว่า ลมเพชรหึง
ลมเพชรหึงนี้เกิดขึ้นแล้วไม่ค่อยได้ บ้านแตกสาแหรกขาดกันไปตามๆ กันทีเดียว ลมอย่างนี้เป็นลมร้ายออกมาจากในตัวคน เราต้องระวังเหมือนกันอย่าให้ลมเหล่านี้ออกมา ลมร้อนก็คือความโกรธนั่นเอง ความโกรธ ความเกลียด ความพยาบาท ความอาฆาตจองเวร เป็นประเภทลมร้อน ถ้าหากออกมาจากใครละก็ ตาร้อน ปากร้อน หูร้อน ใจมันก็ร้อน ทำอะไรลงไปก็ แหม!..มีแต่เรื่องร้อน ร้อนทั้งนั้น นี่ลมร้อนเกิดจากภายใน เราต้องระวังอย่าให้ลมนี้ไปกระทบคนอื่น
ทีนี้ ถ้าลมร้อนออกมาจากคนอื่นจะกระทบเรา เราจะต้องทำยังไง เราจะต้องเผาของเย็นๆ มากันลมไว้เสีย ของเย็นนั้นก็คือ ธรรมะ ความอดทน ควมหนักแน่น ความเห็นอกเห็นใจ ความน่าสงสาร เช่นใครมาร้อนกับเรา เราควรจะสงสารเขา สงสารว่าแหม!...คนนั้นถูกไฟไหม้ ไฟกิเลสไหม้ใจ ทำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนอยู่ จะมีทางใดช่วยเขาให้หายร้อนได้บ้างหนอ ต้องคิดว่าอย่างนั้น แล้วช่วยให้เขาหายร้อน แต่ถ้าหากว่าลมร้อนมาจากคนอื่น มากระทบเราเข้าพลอยร้อนไปกับเขาเสียด้วย อย่างนั้นไม่ดี ไฟป่ามา จุดไฟบ้านรับมันก็ยุ่ง
คนโบราณเขาสอนไว้ บอกว่า ไฟป่ามาอย่าจุดไฟบ้านรับ ไฟป่าก็คือลมร้ายจากปากคนอื่น จากการกระทำของคนอื่นนั่นแหละโยม เช่น ใครนินทาเราเขามาบอกว่า คนนั้นใส่ไฟคุณใหญ่แล้ว เราอย่าไปเอาไฟรับ อย่าไปโกรธเขา อย่าไปเกลียดเขา อย่าไปนึกอะไรในทางไม่ดี แต่เราควรจะสำรวมใจ นึกถึงความดีไว้ นึกถึงพระไว้แล้วก็มีความอดทน ความทน ให้เกิดความหนักแน่น สงสารเขา ช่างเขาเถอะ เขาเป็นคนไม่ถึงธรรมะ ไม่ถึงพระไม่ถึงเจ้า วันหนึ่งเขาคงจะรู้สึกตัวเองแหละ เราจะไปด่าว่าตอบเขา เรามันจะเสียคนหนักเข้าไปอีก
นึกได้อย่างนี้ เรียกว่า ไม่จุดไฟบ้านรับ ไฟป่ามันก็ไม่มีเชื้อที่จะลุกลามต่อไป คนเราที่มันยุ่งในสังคมนี้เพราะอะไร ก็เพราะคอยจุดรับกันอยู่ตลอดเวลา พอคนนั้นส่งไฟมาเราก็รับเอาไป แล้วเอาเชื้อใส่เข้าไปอีก เลยยุ่งเลยลุกลามไปกันใหญ่โต สร้างความทุกข์ สร้างความเดือดร้อนในสังคมมนุษย์ เพราะฉะนั้นผู้ที่ประพฤติในทางธรรม จะต้องสำรวมใจ ระมัดระวัง ไม่ให้ไฟเหล่านั้นมากระทบเรา แล้วก็ระวังไฟของเราไม่ให้ไปกระทบใคร
เวลาเราจะไปหาใคร เจอใครที่ไหน เราก็ควรจะไปหาเขาด้วยความใจเย็น ส่งเมตตากรุณาไปเป็นกระแสจิตไปก่อน ให้ไปกระทบคนเหล่านั้น คนเหล่านั้นได้รับกระแสจิตที่ประกอบด้วยความเมตตา ก็จะส่งเมตตามาต่อเรา เย็นทั้งสองฝ่าย ไม่มีเรื่องเสียหายให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน นี่ลมข้างภายใน เราต้องระมัดระวังอย่าให้ออกมาในทางที่ไม่ดี ถ้าจะออกมาต้องเป็นลมเย็น เรียบร้อยเพราะมีคุณธรรม รักษาจิตใจ มีพระอยู่ในใจ สิ่งทั้งหลายก็จะเป็นไปด้วยดี ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย นี้ประการหนึ่ง....
ช่วงปี 2505 ประเทศไทยถูกลัทธิคอมมิวนิสต์รุกคืบอย่างหนัก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ดำเนินแนวทางตามลัทธิมาร์กซ์ ลัทธิเลนิน เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยเป็นประเทศคอมมิวนิสต์
ปาฐกถาสงเคราะห์ของท่านปัญญาฯ สะท้อนบ้านเมืองช่วงเวลานั้น ความหวาดระแวงระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ความกลัวในลัทธิการเมืองที่ต่างออกไป เป็นวิวัฒนาการที่คนรุ่นหลังควรศึกษาหาความอย่างยิ่ง.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |