อย่าได้แปลกใจหากสหรัฐกับยุโรปจะเริ่มกังวลว่าจีนสามารถ “ซื้อใจ” ของประเทศในอาเซียนได้มากกว่าที่ตนเองต้องการจะเห็น
    หรือแม้คำเตือนว่าระวังอย่าไปคบหา “หัวเหว่ย” ของจีนให้ใกล้ชิดมากนัก เพราะอาจจะถูก “จารกรรม” ได้ง่ายๆ
    แต่ดูเหมือนหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทย ก็เดินหน้ามีข้อตกลงกับบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ของจีนแห่งนี้อย่างไม่มีอาการสะดุดแต่อย่างใดเลย
    เพราะหัวเหว่ยกับรัฐบาลจีนดำเนินนโยบายที่ไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ ใช้ทั้งการเมืองและธุรกิจมาชักชวนประเทศต่างๆ ให้ซื้อบริการของหัวเหว่ยที่ทันสมัย เช่นระบบ 5G แทนที่จะใช้ของตะวันตก
    เหตุผลที่หลายประเทศในอาเซียนตกล่องปล่องชิ้นกับหัวเหว่ย ก็เพราะราคาถูกกว่า, บริการดีกว่า และมี “ของแถม” ต่างๆ ทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจอีกหลายอย่างที่ยี่ห้อของประเทศอื่นๆ ไม่สามารถเสนอได้
    วันก่อนเห็นข่าวของ “วีโอเอภาคภาษาไทย” ถ่ายทอดรายงานของ Voice of America พูดถึงประเด็นนี้น่าสนใจ เพราะตรงกับประเด็นที่ผมได้ยินหลายๆ คนจากหลายๆ ประเทศกำลังจับตาดูอยู่
    ข่าวชิ้นนั้นบอกว่า
    “รัฐบาลสหรัฐเริ่มตระหนักว่าหลายประเทศกำลังเพิกเฉยต่อคำเตือนของสหรัฐ เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความมั่นคงที่มาพร้อมกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบ 5G ของบริษัทหัวเหว่ย (Huawei)
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ซึ่งพันธมิตรของสหรัฐหลายประเทศต่างแข่งกันจับมือกับหัวเหว่ยเพื่อติดตั้งเครือข่าย 5G ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้านี้
    เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ประเทศไทยได้เริ่มทดสอบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบ 5G ของบริษัทหัวเหว่ยที่จังหวัดชลบุรี โดยเจ้าหน้าที่ของทางการไทยระบุว่า สาเหตุที่เลือกหัวเหว่ยเพราะมีราคาถูกกว่าบริษัทอื่น แม้มีคำเตือนจากสหรัฐเรื่องความเสี่ยงจากการถูกสอดแนม 
    ส่วนที่ฟิลิปปินส์ บริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมรายใหญ่ Globe Telecom ก็กำลังเปิดตัวเครือข่าย 5G โดยมีความร่วมมือกับหัวเหว่ย 
    เช่นเดียวกับบริษัท Maxis ของมาเลเซีย ที่เพิ่งลงนามในบันทึกความเข้าใจกับหัวเหว่ย เพื่อร่วมพัฒนาเครือข่าย 5G ในมาเลเซียเช่นกัน
    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อดีตเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของสหรัฐ 6 คน ร่วมกันออกแถลงการณ์เตือนถึงความเสี่ยงด้านความมั่นคงที่มาพร้อมกับเครือข่าย 5G ของบริษัทจีน ที่มีต่อพันธมิตรของสหรัฐ โดยระบุว่า "มีความกังวลว่าในอนาคต สหรัฐจะไม่สามารถใช้เครือข่ายที่พึ่งพาเทคโนโลยีของจีนเพื่อกิจการด้านการทหารในดินแดนหรือประเทศที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงในยุโรป และเอเชีย" 
    ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ไมค์ พอมเพโอ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีหลังจากการประชุมขององค์การนาโตในกรุงวอชิงตัน เตือนว่า ในอนาคตบางประเทศในยุโรปที่ยังยืนกรานทำธุรกิจกับบริษัทเทคโนโลยีจากจีน อาจถูกตัดขาดจากเครือข่ายข่าวกรองของสหรัฐ หากการวิเคราะห์ความเสี่ยงพบว่ามีอันตรายมากเกินไปที่จะแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองนั้น
    แพทริก เมอร์ฟีย์ รองผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ฝ่ายกิจการเอเชียและแปซิฟิก กล่าวว่า สหรัฐต้องการแบ่งปันข้อมูลความเสี่ยงจากเทคโนโลยีของหัวเหว่ยให้พันธมิตรของสหรัฐได้รับทราบ จากประสบการณ์ของสหรัฐเอง
    ด้านคุณดีน เช็ง นักวิชาการอาวุโสแห่งสถาบัน Heritage Foundation ในกรุงวอชิงตัน ชี้ว่า หัวเหว่ยคือหนึ่งในบริษัทเอกชนของจีนที่พร้อมทำตามคำสั่งของรัฐบาลกรุงปักกิ่ง ขณะที่ธุรกิจโทรคมนาคมก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศ ทั้งในด้านการทหาร การเงิน และเศรษฐกิจ
    อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนคำเตือนของรัฐบาลสหรัฐจะไม่ได้ผลมากนักในการจูงใจประเทศพันธมิตร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะที่ผ่านมา สหรัฐเองที่มักเป็นฝ่ายถูกวิจารณ์เรื่องการสอดแนมประเทศอื่น
    คุณริชาร์ด เครเมอร์ ผู้ก่อตั้งบริษัทวิจัยด้านเทคโนโลยี Arete ชี้ว่า ช่วงหลายปีมานี้ มีการเปิดเผยหลายครั้งว่ารัฐบาลอเมริกันได้ร่วมมือกับบริษัทโทรคมนาคมเพื่อลอบเก็บข้อมูลลับต่างๆ 
    ดังนั้น จุดยืนของสหรัฐในกรณีหัวเหว่ยจึงดู "ย้อนแย้ง" เพราะในขณะที่สหรัฐไม่ต้องการให้จีนสอดแนมตนเองและประเทศประเทศพันธมิตร แต่สหรัฐกลับเป็นฝ่ายที่ต้องการสอดแนมจีนเสียเอง”
    การรุกคืบทางการค้า, ลงทุน, การเมืองและเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนกับธุรกิจเอกชนของปักกิ่งเหมือนเป็น “กองทัพ” ที่ประกอบไปด้วยนักรบทุกประเภท แบ่งหน้าที่กันประกบประเทศต่างๆ เสนอในสิ่งที่เจ้าของบ้านปฏิเสธยาก
    แต่นั่นไม่ได้แปลว่าประเทศไทยจะไม่ตระหนักว่าเราควรจะต้องตระหนักถึงความสำคัญของการแสวงหา “ดุลถ่วงแห่งอำนาจ” จากทุกมุมโลกในยุคที่การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจกำลังเข้มข้นในทุกๆ มิติ
    เพราะเราต้องไม่ตกเป็น “เบี้ยล่าง” หรือ “เครื่องมือเพื่อการต่อรอง” ของมหาอำนาจฝ่ายใดเป็นอันขาด.