เปรียบเทียบกรณี "ธนาธร" "อิศรา" เผยแพร่คำพิพากษาศาลฎีกา ผู้ถือหุ้นสื่อขาดคุณสมบัติ สมัคร ส.ส.ไม่ได้ ด้าน "ธีระชัย" รักพี่เสียดายน้อง อนาคตใหม่มี "ธนาธร" มีจุดสีเทาเรื่องหุ้นสื่อ มี "ปิยบุตร" ที่วิจารณ์สถาบัน แต่นโยบายโดนใจ ถามสังคม จะทำอย่างไรกับ 6.2 ล้านคน เพราะจะผลักไสไล่ส่ง
ออกไปจากประเทศไทยไม่ได้
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา สำนักข่าวอิศรา w ww.isranews.org เผยแพร่รายงานระบุว่า จากการตรวจสอบพบว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยา โอนหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด รวม 900,000 หุ้น มูลค่า 9 ล้านบาท ให้แก่นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของนายธนาธร เมื่อวันที่ 21 มี.ค.2562 หรือก่อนการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค. 2562 เพียง 3 วัน
อย่างไรก็ดี เมื่อช่วงเย็นวันที่ 23 มี.ค.2562 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โพสต์ข้อความพร้อมโชว์เอกสารการโอนหุ้นชี้แจงกรณีนี้ผ่านทวิตเตอร์ (Twitter) ระบุว่า จากกรณีที่ตนถูกกล่าวหาว่าถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด อาจขาดคุณสมบัติการลงเลือกตั้ง ขอชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน ตนและภรรยาโอนหุ้นไปตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.2562 ที่ผ่านมา 1 เดือนก่อนการยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะมีปัญหาทางกฎหมายในเรื่องนี้ (อ่านประกอบ : ‘ธนาธร’ โชว์เอกสารโอนหุ้น บ.วี-ลัคฯ ให้ ‘แม่’ 1 เดือนก่อนสมัคร ส.ส.-ไม่หวั่นมีปัญหาทางกฎหมาย)
ไม่ว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวจะเป็นเช่นไร ต้องรอให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดำเนินการตรวจสอบตามกระบวนการกฎหมาย
โดยในวันที่ 25 มี.ค.2562 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เตรียมยื่นเรื่องร้องเรียนแก่ กกต. เพื่อขอให้ไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีนี้ โดยระบุว่า กรณีผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง มีหุ้นอยู่ในธุรกิจสิ่งพิมพ์หรือสื่อมวลชน อาจถือได้ว่าอาจเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามที่รัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 98 (3) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 42 (3) บัญญัติว่า บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ระบุไว้ (อ้างอิงข่าวจาก แนวหน้าออนไลน์)
ทั้งนี้ นายศรีสุวรรณได้อ้างอิงคำสั่งของศาลฎีกาด้วยว่า เคยมีคำสั่งลักษณะนี้ไปแล้ว ตามคำสั่งศาลฎีกาที่ 1144/2562 และ 1228/2562 ลงวันที่ 7 มี.ค. 2562
สำนักข่าวอิศรา w ww.isranews.org หยิบยกคำสั่งศาลฎีกาที่ 1144/2562 เพื่อนำมาเสนอเป็นกรณีตัวอย่างเกี่ยวกับกรณีผู้สมัคร ส.ส. ถือหุ้นในธุรกิจสื่อมวลชน ให้สาธารณชนรับทราบ ดังนี้
เมื่อวันที่ 7 มี.ค.2562 นายอนุสรณ์ เกษมวรรณ ผู้ร้อง ผอ.การเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งที่ 1 กทม. ผู้คัดค้าน
คำร้องคัดค้าน
โดยผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่ 1 กทม. ผู้คัดค้านไม่ประกาศรายชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยอ้างว่าผู้ร้องขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 มาตรา 42 เนื่องจากมีหุ้นสื่อมวลชน แต่ผู้ร้องไม่มีหุ้นสื่อมวลชน จึงมิได้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านเพิ่มชื่อผู้ร้องในรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ก่อนประกาศรายชื่อผู้สมัคร ผู้คัดค้านได้ตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครแล้ว ปรากฏว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกิจการของรายการจดแจ้งการพิมพ์ชื่อสื่อกลางสภาไทย มีวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่ข่าวสารเศรษฐกิจและการเมือง ผู้ร้องจึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ และมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 มาตรา 42 (3) ขอให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตรวจสำนวนประชุมปรึกษาพิจารณาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.หรือไม่ เห็นว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 98 บัญญัติว่า ‘บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. … (3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ …’
และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 มาตรา 42 บัญญัติเช่นเดียวกันว่า ‘บุคคลผู้มีลักษณะต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. … (3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใดๆ …’
ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จึงเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ มิได้
เมื่อข้อเท็จจริงตามคำร้อง คำคัดค้าน เอกสารพยานหลักฐานแห่งคดี ประกอบกับที่ผู้ร้องแถลงรับข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณาว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์สื่อกลางรัฐสภาไทย ผู้ร้องจึงเป็นบุคคลอันมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. มาตรา 98 (3) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 มาตรา 42 (3)
ต้องห้ามสมัคร ส.ส.
ที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องไม่ได้พิมพ์สื่อสิ่งพิมพ์ดังกล่าวเป็นเวลาเกิน 2 ปี ถือว่าความเป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา บรรณาธิการ หรือเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ของผู้ร้องสิ้นสุดลงตาม พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 มาตรา 45 นั้น เห็นว่าแม้กิจการของผู้ร้องมีการจดแจ้งการพิมพ์ไว้ตามกฎหมายดังกล่าว และต่อมาได้มี พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 ยกเลิกกฎหมายนั้นแล้วก็ตาม แต่มีบทเฉพาะกาลตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 มาตรา 28 ให้ถือว่าหนังสือพิมพ์ซึ่งได้เข้าแจ้งความแก่เจ้าพนักงานการพิมพ์ตาม พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 เป็นหนังสือพิมพ์ที่ได้จดแจ้งการพิมพ์ตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 ด้วย
หากผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา บรรณาธิการ หรือเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ผู้ใดประสงค์จะเลิกเป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา บรรณาธิการ หรือเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ ต้องแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบเพื่อยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงรายการในหลักฐานการจดแจ้งภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่เลิกเป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา บรรณาธิการ หรือเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 มาตรา 18
การที่ผู้ร้องเพียงแต่ไม่ได้พิมพ์สื่อสิ่งพิมพ์ โดยไม่ได้แจ้งยกเลิก หรือเปลี่ยนแปลงรายการในหลักฐานการจดแจ้งการพิมพ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงไม่มีผลทำให้ผู้ร้องพ้นจากความเป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา บรรณาธิการ หรือเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ดังกล่าวได้
ผู้ร้องจึงเป็นบุคคลอันมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 98 (3) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 มาตรา 42 (3) ที่ผู้คัดค้านไม่ประกาศรายชื่อผู้ร้องเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ชอบแล้ว
วันเดียวกันนี้ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า ผมไม่ค่อยอยากโพสต์เรื่องธนาธร เพราะจะมีคนที่ไม่ชอบจำนวนมากที่เข้ามาพูดร้าย สู้กับคนที่เชียร์ จนเพจของผมมั่วไปหมด และผมต้องคอยไล่ลบคอมเมนต์คำหยาบทั้งสองฝ่าย มีคนตั้งคำถามว่า ทำไมคุณไพศาล พืชมงคล ถึงปกป้องธนาธรมากจัง
ต้องเริ่มต้นว่า พรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคเดียวที่นำเสนอนโยบายแบบแหวกแนว (ดูรูป) เช่น ทำให้การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเกิดขึ้นจริงๆ ทำ open government เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐได้จริง ทำให้ภาคประชาชนมีสิทธิมีเสียงในการบริหารชุมชนของตนเองได้จริง ทลายอำนาจผูกขาดนายทุนใหญ่ให้ได้ผลจริง ปฏิรูปกองทัพให้ได้ผลจริง
ผมเองเสียดายที่พรรคอื่นไม่ได้เน้นเรื่องเหล่านี้เป็นกิจจะลักษณะ แต่ง่วนอยู่กับนโยบายลดแลกแจกแถม จึงทำให้หลายคนที่ผมรู้จัก ไปเลือกพรรคอนาคตใหม่ เพราะชอบนโยบายเหล่านี้
เพื่อนๆ ผมและเยาวชนที่คุยกับผม ไม่ได้เลือกเพราะไม่ศรัทธาสถาบัน แต่เขามั่นใจว่าสถาบันมีความแข็งแกร่งเสียจนคำวิจารณ์ในทางลบทำร้ายสถาบันไม่ได้
ยังถล่มธนาธรกันดุเดือด
ก่อนการเลือกตั้ง ผมสนับสนุนให้ผู้ที่คัดค้านธนาธรเผยแพร่ทางโซเชียลกันเต็มที่ และผลก็ปรากฏว่า แม้ถล่มโจมตีกันแบบทะลักทลาย ก็ยังมีคนเลือกกว่า 6.2 ล้านคน มากกว่าหลายพรรคไม่ว่าเก่าแก่หรือใหม่เอี่ยม
มาถึงวันนี้ เลือกตั้งก็ผ่านไปแล้ว ผมก็เห็นยังมีคนที่ถล่มธนาธรกันดุเดือดเหมือนเดิม คนที่เชียร์ก็ซัดกันหนักเหมือนเดิม ทำให้ผมถามตัวเองว่า คนพวกนี้ เขาคิดว่าจะสามารถทำให้อีกฝ่ายหนึ่งหันมาเปลี่ยนใจได้ หรืออย่างไร เพราะขนาดทุ่มกันสุดตัวก่อนเลือกตั้ง ก็มีคน 6.2 ล้านคนที่ไม่ฟัง
ผมคิดว่าน่าเสียดายที่พรรคนี้มีธนาธรที่มีจุดสีเทาเรื่องหุ้นสื่อ มีปิยบุตรที่วิจารณ์สถาบัน และมีข้อด้อยอีกหลายอย่างที่ผมไม่เห็นด้วย จึงน่าเสียดายที่จุดอ่อนเหล่านี้ ไปบดบังนโยบายแหวกแนวที่ดี
เมื่อมีรัฐบาลใหม่โดยมีพรรคอนาคตใหม่เป็นฝ่ายค้าน ผมหวังว่าจะมีคนหยิบข้อเสนอดีๆ ของพรรคนี้ขึ้นมาดำเนินการ ผมอยากให้แยกเรื่องของตัวบุคคลออกไปจากเรื่องนโยบาย
คนอย่างคุณไพศาลที่กล่าวเกี่ยวกับธนาธรในเชิงแนะนำให้มองสองด้านนั้น ศัตรูของธนาธรก็จะอ่านเป็นการปกป้องธนาธรแบบอัตโนมัติ
แต่มาถึงวันนี้ เราต้องถามว่า จะทำอย่างไรกับ 6.2 ล้านคน? เพราะเราผลักไสไล่ส่งเขาออกไปจากประเทศไทยไม่ได้ เราจะพยายามติดป้ายฉลาก เพื่อบรรยายว่าคนกลุ่มนี้ไม่รักสถาบันหรือ?
ผมจึงอยากให้เพลาอารมณ์ลงกันบ้าง ทั้งสองฝ่าย แล้วปล่อยเวลาให้เป็นเครื่องสมานความแตกแยกในสังคม
คนในพรรคอนาคตใหม่จะต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัว ก่อนหน้านี้คงคาดไม่ถึงว่าจะมีคนให้การสนับสนุนมากอย่างนี้ แต่มาถึงวันนี้ ก็คงจะรู้และเข้าใจกันบ้างแล้วว่า
คนเขาเลือกพรรคเพราะชอบนโยบาย แต่ไม่ชอบที่ธนาธรและปิยบุตรแสดงออก คนเขาอยากให้โอกาส แต่ธนาธรต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์เรื่องหุ้นสื่อได้หมดจด คนเขาเข้าใจว่ากลัวกระบวนการยุติธรรมไม่เป็นธรรม แต่ไม่ชอบการชักศึกเข้าบ้าน ฯลฯ
ผมเองเป็นคนอายุมาก จึงพอจะเข้าใจว่าคนอย่างคุณไพศาลนั้น อยากให้สังคมกลับมาปรองดอง และคงจะพยายามให้ข้อคิดแก่ผู้อ่าน เพราะผู้อื่นที่หวือหวาไปกับเรื่องนี้ แบบเก็บอารมณ์ไม่อยู่ มีระดับผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย
นายนพดล ปัทมะ แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล หรือผู้กองปูเค็ม ยื่นหนังสือถึง กกต. ขอให้ตรวจสอบสมาชิกพรรคการเมือง 6 พรรค เนื่องจากยังถือครองหุ้นบริษัทที่จดทะเบียนประกอบธุรกิจด้านสื่อสารมวลชนว่า ตนไม่รู้ว่า ร.อ.ทรงกลดไปเอาข้อมูลมาจากไหน ตนไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทที่ ร.อ.ทรงกลดกล่าวอ้าง และบริษัทดังกล่าวสิ้นสภาพการเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไปเกือบ 20 ปี อีกทั้งรายชื่อที่ ร.อ.ทรงกลดยื่นให้มีการตรวจสอบนั้น เป็นสมาชิกในพรรคที่ร่วมแถลงเป็นฝ่ายแนวร่วมประชาธิปไตยที่จะทำงานทางการเมืองด้วยกัน ซึ่งคงทำให้ประชาชนทั่วไปตั้งคำถามว่าเป็นประเด็นการเมืองหรือไม่.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |