18 เม.ย.62 - ที่ห้องพิจารณาคดี 8 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ศาลอ่านคำพิพากษา คดีฟอกเงินทอนวัด สำนวนแรก หมายเลขดำ อท.38/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามทุจริต 1 เป็นโจทก์ฟ้องพระครูกิตติ พัชรคุณ เจ้าคณะอำเภอชนแดน จ.เพชรบูรณ์ และเจ้าอาวาสวัดลาดแค หรือนายสมเกียรติ ขันทอง อายุ 55 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานฟอกเงินโดยสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินนั้น ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3, 5 (1) (2) (3), 9, 60
กรณีที่พระครูกิตติร่วมกับ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อายุ 60 ปี อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ซึ่งตัวยังหลบหนีตั้งแต่ชั้นสอบสวนของตำรวจ ปปป. (อัยการมีความเห็นสั่งให้ฟ้องไว้แล้ว พร้อมให้ออกหมายจับติดตามตัวมาดำเนินคดีภายในอายุความ 20 ปี ซึ่งคดีจะขาดอายุความในวันที่ 21 ม.ค. 2579) วางแผนยักย้าย-ถ่ายโอนเงินทอนวัดราว 24 ล้านบาทเศษ ที่ได้เบียดบังจากการทุจริตจัดสรรงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ที่เป็นเงินอุดหนุนให้ 12 วัด 13 รายการจำนวน 28 ล้านบาท ในการบูรณะซ่อมแซมวัด หรือเพื่อโครงการศึกษาพระปริยัติธรรม หรือโครงการเผยแผ่กิจกรรมทางศาสนา
โดยพวกจำเลยร่วมกันเบียดบังเงินส่วนที่ให้กับวัดใน จ.เพชรบูรณ์, ตาก, นครสวรรค์, ชุมพร ไปด้วยการแบ่งส่วนเงินงบประมาณเพียงเล็กน้อยประมาณ 50,000 บาทถึงหลักแสนบาท จูงใจให้วัดยินยอมนำเงินงบประมาณฯ ที่จะถูกจัดสรรมานั้นเข้าบัญชีวัด แล้วให้โอนคืนเงินนั้นกลับให้พวกตนโดยใช้บัญชีธนาคารของวัดเป็นเครื่องมือปกปิดอำพรางการกระทำความผิดของพวกตน ให้ดูเสมือนว่าเงินที่โอนและถอนออกจากบัญชีวัดเป็นเงินที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่เงินซึ่งถูกทอนมานั้นจะนำเข้าบัญชีหรือส่งมอบเป็นเงินสดให้แก่พระครูกิตติ เพื่อรวบรวมมอบให้นายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ. อันเป็นการกระทำผิดฐานฟอกเงิน
คดีนี้อัยการฟ้องเมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2561 ขณะที่จำเลยให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี โดยระหว่างการพิจารณาได้ประกันตัวไปด้วยหลักทรัพย์มูลค่า 1.5 ล้านบาท ซึ่งศาลกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล โดยให้เก็บรักษาหนังสือเดินทางของจำเลยไว้ และให้คืนเมื่อสิ้นสุดสัญญาประกันแล้วด้วย
วันนี้พระครูกิตติยังอยู่ในสมณเพศ สวมจีวร ได้เดินทางมาพร้อมกับทนายความและคณะศิษย์ โดยเดินทางมาถึงศาลตั้งแต่ก่อนเวลา 08.00 น.
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว มีทั้งเจ้าหน้าที่ ปปง., นิติกรของ พศ. จ.เพชรบูรณ์, พระในวัดต่างๆ ที่นำบัญชีของวัดให้จำเลยรับโอนเงิน ซึ่งรับรู้การโอนและถอนเงิน รวมทั้งลูกศิษย์คนสนิทของพระครูกิตติ เบิกความสอดคล้องกัน ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยได้ร่วมกับนายนพรัตน์ ที่ได้จัดสรรงบ พศ. มาให้กับ 12 วัดใน จ.เพชรบูรณ์, นครสวรรค์, ตาก และชุมพร โดยที่แต่ละวัดไม่ได้ทำคำของบแต่อย่างใด แต่นายนพรัตน์ให้นำบัญชีของวัดมาเพื่อจะโอนเงินให้แต่ละวัดนับล้านบาท โดยเมื่อโอนเงินแล้วให้แต่ละวัดโอนเงินกลับส่งคืนให้จำเลย เพื่อส่งต่อให้นายนพรัตน์ อ้างว่าจะนำไปให้วัดจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งที่ไม่มีการนำไปดำเนินการดังกล่าวจริง และได้นำมาแบ่งปันกัน บางส่วนจำเลยนำมาให้จ่ายส่วนตัว เช่นที่อ้างว่าได้พาพระและสามเณรไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย
ซึ่งการกระทำนั้นเป็นการจัดสรรงบโดยมิชอบและหลักเกณฑ์ที่ พศ.ยึดถือปฏิบัติ ซึ่งงบที่อ้างว่าจะใช้บูรณะปฏิสังขรวัดจะต้องมีคำขอจากวัด ไม่ใช่ พศ.ดำเนินการจัดสรร การที่จำเลยอ้างว่าเข้าใจว่าการที่มีเจ้าหน้าที่ พศ.มาแจ้งและรับเงินคืน แต่งชุดราชการและนั่งรถตู้ตราสัญลักษณ์ จึงเชื่อว่าเป็นการจัดสรรงบโดยชอบนั้น เป็นการกล่าวอ้างง่ายเกินไป เพราะจำเลยได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชั้นปกครอง ย่อมทราบถึงระเบียบหลักเกณฑ์ที่ได้ปฏิบัติมา จะอ้างวิธีการคนหมู่มากนำมาปฏิบัติใช้นั้นก็ย่อมจะไม่ชอบ ซึ่งขณะกระทำผิดจำเลยเป็นเจ้าคณะอำเภอ ถือเป็นเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ ก็จะต้องรับโทษ 2 เท่า
พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ลงโทษ 13 กระทง กระทงละ 3 ปี รวมจำคุก 39 ปี แต่ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 คงรวมจำคุก 26 ปี ส่วนคำขออื่นให้ยก
ทนายความของพระครูกิตติฯ เปิดเผยสั้นๆ ว่าขณะนี้กำลังเตรียมคำร้องและหลักทรัพย์เพื่อจะยื่นขอประกันตัวสู้คดีในชั้นอุทธรณ์
ทั้งนี้ ภายหลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ก็ได้ควบคุมตัวพระครูกิตติ จำเลยไปยังห้องคุมขังชั้นใต้ถุนศาล ระหว่างรอฟังผลการขอประกันตัวสู้คดีชั้นอุทธรณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพระครูกิตติ ยังถูกอัยการฟ้องคดีอนาจารเด็กหญิง 3 คน อายุไม่เกิน 15 ปีฯ ซึ่งถูกล่อลวงไปยังกุฏิที่พักของพระครูกิตติ เมื่อช่วงปี 2548-2549 ไว้ต่อศาลอาญาด้วย โดยพระครูกิตติ ได้ประกันตัวไปวงเงิน 200,000 บาทขณะที่ศาลสั่งห้ามออกนอกประเทศเช่นกัน ส่วนคดีศาลอาญาสืบพยานเสร็จสิ้นแล้วกำหนดนัดฟังคำพิพากษาคดีอนาจารเด็กหญิง ในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับการร่วมฟอกเงิน การทุจริตงบประมาณของ พศ.ราว 150 ล้านบาทที่เป็นเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม ตั้งแต่ปี 2557 และโครงการศูนย์กลางเผยแพร่พระพุทธศาสนา และโครงการของสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงฯ ของวัดสระเกศฯ จำนวน 63,700,000 บาท
มีคดีที่อัยการสำนักงานคดีปราบปราบการทุจริต ได้ยื่นฟ้อง อดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในวัดเขต กทม. อย่างวัดสามพระยาและวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กับกลุ่มฆราวาสชาย-หญิง รวม 10 รายที่ร่วมรับเงิน ฐานฟอกเงินและปฏิบัติหน้าที่่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ไว้แล้วต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลาง รวม 3 สำนวน คดีหมายเลขดำ อท.196/2561, อท.197/2561, อท.205/2561 โดยทั้งหมดถูกขังในเรือนจำไม่ได้รับการประกันตัวชั้นพิจารณา ซึ่งคดีอยู่ระหว่างรอไต่สวนพยาน
ส่วนกลุ่มอดีตข้าราชการ พศ.ระดับริหารนั้น ได้แก่ นายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ. กับพวกรวม 4 คน อัยการก็ได้ยื่นฟ้องคดีไว้แล้วต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 เป็นคดีหมายเลขดำ อท.3/2562 ซึ่งคดีอยู่ระหว่างรอไต่สวนพยานเช่นกัน
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |