ในที่สุดก็เข้าสู่ช่วงปลายของรัฐบาลทหาร ภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย ที่นำทัพ ครม.ประยุทธ์ 5 ในปัจจุบัน บริหารประเทศเข้าสู่ปีที่ 5 กระทั่งมีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา ก่อนประกาศผลเลือกตั้งทางการไม่เกินวันที่ 9 พ.ค. และนับถอยหลังรอจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ
โดยห้วงเวลาเกือบ 5 ปีของรัฐบาล คสช. เป็นการทำงานท่ามกลางแรงกดดันรอบด้าน และถูกจับตาในทุกๆ นโยบายที่ทำออกมา กระทั่งห้วงสุดท้ายของรัฐบาลมีผลงานที่ตกผลึกออกมาเป็นรูปธรรม และเป็นผลงานชิ้นโบแดง พิสูจน์ฝีมือการทำงานของรัฐบาลทหาร ให้ประชาชนได้จดจำอยู่หลายผลงาน
โดยผลงานสร้างชื่ออันดับแรก ปลดใบเหลืองประมงไอยูยูให้ประเทศไทย เมื่อต้นปี 2562 ที่ผ่านมา ถือเป็นการยกระดับการทำประมงเชิงพาณิชย์ ทั้งในและนอกน่านน้ำของไทยเข้าสู่มาตรฐานสากล หลังจากไทยได้รับใบเหลืองเมื่อเดือน เม.ย.2558 รัฐบาล คสช.ก็พยายามแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ทั้งด้านกรอบกฎหมาย การบริหารจัดการประมง การบริหารจัดการกองเรือ การติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง (MCS) การตรวจสอบย้อนกลับ และการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้นขึ้น ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้ลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการเรือ และชาวประมงที่ได้รับผลกระทบด้วยตัวเอง อีกทั้งในอนาคตยังวางแผนงานความร่วมมือกับสหภาพยุโรป เพื่อให้ไทยบรรลุการเป็นประเทศปลอดประมงไอยูยู หรือไอยูยูฟรี ได้โดยสมบูรณ์อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรที่ปลดทุกข์คนจนได้สำเร็จ ซึ่งเป็นนโยบายที่ผู้มีรายได้น้อยต้องจดจำ และอยากให้มีการสานต่อในรัฐบาลหน้า แต่ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า กว่ารัฐบาลจะออกมาเป็นนโยบายดังกล่าวได้ ก็ผ่านข้อครหาต่างๆ มาไม่น้อย ทั้งแจกเงินบ้าง ประชานิยมบ้าง แต่สุดท้ายก็สามารถตกผลึกออกมาเป็นนโยบายสวัสดิการแห่งรัฐได้สำเร็จ สามารถช่วยผู้มีรายได้น้อยให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้วยเงินสมทบจากภาครัฐที่ช่วยเหลือค่าครองชีพในด้านต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ที่จะนำเงินไปใส่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และล่าสุดเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา สำนักงบประมาณยังได้จัดสรรงบเพิ่มเติมใส่ในกองทุนดังกล่าวอีกกว่า 3 หมื่นล้านบาท เพื่อให้มีงบประมาณใช้ได้จนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2562 หรือถึงเดือน ก.ย.2562 นี้ ซึ่งจะทำให้มีเงินเพียงพอดูแลผู้ถือบัตรทั้ง 14.5 ล้านคน
อีกผลงานเด่นของรัฐบาล คสช.คือ การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ช่วยเหลือคนเป็นหนี้ ที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรกู้ยืมเงินมาลงทุน ด้วยการนำโฉนดที่ดินไปค้ำประกัน แล้วไม่สามารถหาเงินไปชำระได้ ซึ่งที่ผ่านมา “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ลงไปกำกับการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง สามารถไกล่เกลี่ย และคืนโฉนดที่ดินสู่ประชาชนได้เป็นจำนวนมาก พร้อมดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งการจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบให้กับลูกหนี้นอกระบบและประชาชนทั่วไป เช่น ออกสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ หรือแหล่งเงินทุนในระบบเพื่อประชาชนรายย่อย มีการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้เพื่อลดภาระของลูกหนี้ เพิ่มศักยภาพของลูกหนี้นอกระบบ และสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของหน่วยที่เกี่ยวข้อง
ขณะเดียวกัน การจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวเป็นอีกเรื่องที่รัฐบาลผลักดันให้แรงงานที่เข้ามาทำงานในไทยลงทะเบียนอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาด้านอาชญากรรม การค้ามนุษย์ และผลกระทบด้านความมั่นคง โดยมีการจัดตั้งศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ในการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย 3 สัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ลาว และกัมพูชา ทำให้ผู้ประกอบการในไทยมีความตื่นตัว นำลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบ เพื่อให้ทำงานในประเทศไทยได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังมีการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในด้านต่างๆ เช่น จัดตั้งศูนย์ประสานแรงงานประมง 22 จังหวัดชายทะเล จัดตั้งศูนย์แรกรับเข้าทำงานและสิ้นสุดการจ้าง 4 แห่ง เพื่อคัดกรองแรงงานก่อนให้เข้าทำงาน เป็นต้น
และอีกผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลนี้คือ การขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ผลิดอกออกผลได้มากกว่ารัฐบาลอื่นๆ เลยก็ว่าได้ ซึ่งเป็นนโยบายที่ถูกใจคนกรุง โดยที่ผ่านมามีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้า ช่วงสายสีม่วง บางใหญ่-เตาปูน, สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สำโรง พร้อมเร่งรัดการก่อสร้างอีก 7 เส้นทาง ได้แก่ สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ, สายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต, สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต, สายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน, สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี, สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และยังมีที่อยู่ระหว่างขั้นตอนประกวดราคา 4 เส้นทาง เป็นต้น พร้อมนำระบบตั๋วร่วม (e-ticket) มาใช้ในการเชื่อมการเดินทางของประชาชน โดยเปิดตัว “บัตรแมงมุม” บัตรโดยสารที่นำระบบตั๋วร่วมมาใช้ในการให้บริการ ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มใช้ชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง)
และอีกเรื่องที่ขาดไม่ได้ในรัฐบาลนี้ คือการเร่งคลี่คลายปัญหาประชาชน ผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ที่มีส่วนกลางอยู่ที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และแตกยอดออกไปในจังหวัดต่างๆ ในรูปแบบของศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด มีช่องทางตู้ ปณ.1111 สายด่วน 1111 เพื่อรับเรื่องร้องเรียนต่างๆ ของประชาชน โดยมีการบูรณาการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูล เรื่องร้องทุกข์ การให้มีผู้บริหารที่ทำหน้าที่ในการกำกับติดตามเรื่องร้องทุกข์ มีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงต่างๆ ประสานรับเรื่องในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวง ไปดำเนินการอย่างรวดเร็ว ประชาชนสามารถติดตามผลการดำเนินการได้ทุกขั้นตอนผ่านทางเว็บไซต์ ซึ่งในปี 2561 ที่ผ่านมา สามารถยุติเรื่องร้องเรียนของประชาชนได้ถึง 89.91 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม ผลงานด้านต่างๆ ของรัฐบาลที่พิสูจน์ให้เห็นวันนี้ จะได้รับการสานต่อ หรือจะถูกล้างไพ่ ด้วยรัฐบาลชุดใหม่ที่อาจเปลี่ยนขั้วกันไป แต่ “รัฐบาลทหาร” ก็ได้พิสูจน์ฝีมือให้เห็นเป็นที่ประจักษ์กันบ้างแล้ว!.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |