ศาลตีกลับข้อหาเจตนาฆ่า ให้ประกันเสี่ยเมาชนพตท.


เพิ่มเพื่อน    

 พนักงานสอบสวนหน้าแหก! แจ้ง 5 ข้อหาเสี่ยเมาขับเบนซ์ชน พ.ต.ท.ดับพร้อมภรรยา ศาลตีกลับไม่รับคำฟ้องฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนาและพยายามฆ่า ต้องคุมตัวกลับไปสอบปากคำสรุปสำนวนใหม่ก่อนมาแจ้ง 3 ข้อหา ญาติยื่น 2 แสนบาท ศาลให้ประกันตัว สภาทนายความชี้แนวทางพิพากษาระบุว่าเรื่องประมาทไม่ใช่เจตนาฆ่า "วิรุตม์" แนะถ้าตร.บังคับใช้กฎหมายอย่างสุจริต มีประสิทธิภาพ คนขับรถก็เข็ดหลาบเอง

    ที่ศาลจังหวัดตลิ่งชัน เวลา 08.30 น. วันที่ 13เมษายน ร.ต.อ.พิทักษ์ พูลพุทธา รอง สว.(สอบสวน) สน.ศาลาแดง พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน คุมตัวนายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ อายุ 57 ปี ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีเมาแล้วซิ่งรถเบนซ์ รุ่นอี 250 สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ษฮ 789 กรุงเทพมหานคร ชนกับรถเก๋งยี่ห้อซูซูกิ รุ่นสวิฟท์ สีขาว ทะเบียน 2 กก 3653 กรุงเทพมหานคร เป็นเหตุให้ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล รอง ผกก. (สอบสวน) กก.2 บก.ป. ผู้ขับขี่รถคู่กรณีถึงแก่ความตายในจุดเกิดเหตุ ส่วนนางนุชนาถ งามสุวิชชากุล อายุ 44 ปี ภรรยาบาดเจ็บสาหัส ไปเสียชีวิตที่ รพ.ราชพิพัฒน์ และ น.ส.พิญาภา งามสุวิชชากุล อายุ 16 ปี บุตรสาวได้รับบาดเจ็บ มีอาการเลือดออกสมองถูกนำส่ง รพ.วิชัยเวช ไปฝากขังที่ศาล
    ตามข้อหาหนัก 5 ฐานความผิดคือ 1.ฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนา 2.พยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา 3.ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 4.ขับรถในขณะมึนเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส และ 5.ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้มีทรัพย์สินได้รับความเสียหาย
     โดยนายสมชายถูกนำตัวขึ้นรถมาจอดที่บริเวณใต้ถุนศาล มีกำลังฝ่ายสืบสวนนั่งคุมตัวมาด้วยกันตลอดเวลา ขณะที่นายรัตนชัย เวโรจน์พิพัฒน์ พี่ชายของนายสมชาย เดินทางมาเตรียมยื่นขอประกันตัวน้องชาย เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตนต้องขอโทษสังคมกับสิ่งที่เกิดขึ้น และทางครอบครัวพวกเรายอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และขอยอมรับผิดชอบทุกอย่าง 
    ต่อมาเวลา 11.00 น. ทางพนักงานสอบสวน (พงส.) สน.ศาลาแดง ต้องนำตัวนายสมชายกลับโรงพัก เพื่อทำการสอบปากคำทำคดีใหม่ เนื่องจากศาลพิจารณาแล้วไม่สามารถรับฟ้องในคดีฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จะนำมาใช้ลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ได้ 
    โดยศาลให้ทาง พงส.ทำสำนวนแจ้งข้อหาแก่นายสมชายเพียง 3 ข้อหา คือ 1.ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ขับรถในขณะมึนเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส และ 3.ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้มีทรัพย์สินได้รับความเสียหาย ตามที่นายสมชายยอมรับสารภาพตั้งแต่ชั้นสอบสวนเท่านั้น
    หลังจากนั้น พงส.สน.ศาลาแดงควบคุมตัวนายสมชายมายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกอีกครั้งเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 13-24 เม.ย.นี้ เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องทำการสอบสวนปากคำพยานอีก 4 ปาก และรอผลชันสูตรพลิกศพบาดแผลพร้อมกับรอผลการตรวจสอบประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหาประกอบคดี 
    คำร้องระบุพฤติการณ์สรุปตอนหนึ่งว่า เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2562 นายสมชาย ผู้ต้องหา ได้ดื่มเบียร์มาจากสนามไดร์ฟกอล์ฟ แขวง-เขตทวีวัฒนา กระทั่งเวลาประมาณ 23.30 น. ได้ขับรถเบนซ์คันเกิดเหตุ ออกมาตาม ถ.ทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก จนได้มาชนกับรถของผู้ตาย และเมื่อได้ทำการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ พบระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 260 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ 
    จึงได้แจ้งข้อหากระทำผิดฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บสาหัสและทรัพย์สินเสียหาย, เมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย บาดเจ็บสาหัสและทรัพย์สินเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300 และความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (2) (4)
    ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาได้ตามคำร้อง
    ภายหลังการยื่นคำร้องฝากขังแล้ว ญาติของนายสมชายก็ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด จำนวน 200,000 บาท เพื่อยื่นขอปล่อยชั่วคราวระหว่างการฝากขัง โดยศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนายสมชายไปโดยตีราคาประกัน 200,000 บาท
    ที่แผนกนิติเวช รพ.ศิริราช น.ส.ขนิษฐา เลิศวรจักรพงษ์ อายุ 45 ปี ได้นำเอกสารมายื่นติดต่อขอรับศพ พ.ต.ท.จตุพร และนางนุชนาถ โดยให้สัมภาษณ์ ว่า ตนเป็นพี่สาวของนางนุชนาถ วันนี้มายื่นเอกสารเอาไว้ก่อน แต่จะนำศพออกในวันที่ 17 เม.ย.นี้ เนื่องจากติดปัญหาของทางวัดซึ่งอยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ส่วนตัวยังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ตายทั้งคู่เป็นเสาหลักของครอบครัว มีภาระที่ต้องส่งเสียลูกๆ ทั้งสอง ตอนนี้ น.ส.ศุภาพิชญ์ งามสุวิชชากุล หรือน้องพลอย อายุ 16 ปี ลูกสาวคนโตที่อยู่ประเทศอเมริกาทราบเรื่องแล้ว เสียใจมากร้องไห้ไม่หยุด และกำลังรอตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางกลับมาประเทศไทย 
    "ส่วน ด.ญ.พิชญาภา งามสุวิชชากุล หรือน้องแพรว ลูกสาวคนเล็ก อยู่ระหว่างรักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพ อาการเบื้องต้นซี่โครงซี่ที่หนึ่งกระทบกระเทือนหักทั้งสองข้าง ใบหน้าช่วงบริเวณดั้งจมูกยุบ ยังไม่รู้สึกตัว แพทย์ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ในส่วนของคู่กรณี ภรรยาของคู่กรณีก็ช่วยประสานงานติดต่อโรงพยาบาลและได้ไปเยี่ยมน้องแพรว และกล่าวว่าจะช่วยเหลือในเรื่องค่ารักษาให้ถึงที่สุด ส่วนตัวคู่กรณีเองยังไม่ได้มีการพูดคุยเป็นการส่วนตัว มีแต่ญาติเข้ามาแสดงความเสียใจและขอโทษแทน” น.ส.ขนิษฐา กล่าว
         ด้าน พ.ต.อ.กฤตินาท ตุลยลักษณ์ ผกก.สน.ศาลาแดง กล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหานายสมชาย รวม 5 ข้อหา แต่ศาลรับคำร้องเพียง 3 ข้อหา ส่วนข้อหาที่ศาลไม่รับคำร้อง พนักงานสอบสวนก็จะเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อส่งฟ้องต่อไป ทางเจ้าหน้าที่ไม่หนักใจ ก็เหมือนคดีอื่นๆ ทั่วไป
    พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุ พงส.ได้แจ้งข้อกล่าวหาไปตามปกติ สุดท้ายแล้วขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานและดุลพินิจของศาลจะพิจารณา การที่ พงส.สั่งฟ้องในข้อหาใดข้อหาหนึ่ง ศาลจะเห็นด้วยหรือไม่อย่างไรเป็นกลไกของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ส่วนข้อหาฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนาและข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนานั้น ไม่อาจให้คำตอบได้ เพราะคดีนี้ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. ท่านลงไปกำกับดูแลเอง ต้องเรียนถามทางตัวท่านเอง
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อโทรศัพท์ไปสอบถามถึงกรณีดังกล่าวกับ พล.ต.อ.วิระชัย ที่เข้าไปควบคุมสั่งการด้วยตัวเอง หลัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงการใช้ยาแรงกับคนเมาแล้วขับชนคนตายในเทศกาลสงกรานต์ ให้ดำเนินคดีเจตนาฆ่าคนตาย ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้กำกับดูแลด้านกฎหมาย และกรณีของนายสมชาย เป็นกรณีแรกในการสนองนโยบาย แต่มีนายเวรเป็นคนรับโทรศัพท์ โดยบอกว่า พล.ต.อ.วิระชัยอยู่ระหว่างติดภารกิจ กว่าจะเสร็จภารกิจประมาณ 22.00 น.   
    ด้านนายทัศไนย ไชยแขวง อุปนายกฝ่ายต่างประเทศ สภาทนายความ กล่าวว่า การแจ้งข้อกล่าวหาเป็นดุลพินิจของ พงส.ที่จะแจ้งข้อหา ดูตามพฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้วปรับเข้ากับข้อกฎหมายสามารถแจ้งได้ ส่วนที่ศาลตีกลับก็เป็นดุลพินิจของศาล ส่วนที่มองว่าเจตนาฆ่า เขามองว่าเมาแล้วควบคุมรถไม่ได้เหมือนคนปกติ และรู้ว่าถ้ารถชนคนโอกาสตายสูง ถือว่ามีเจตนาพิเศษ รู้อยู่แล้วว่าเมาขับรถแล้วเป็นอันตรายชนคนมันต้องตาย เพราะฉะนั้นถ้าตายต้องเจตนาฆ่า กฎหมายที่มีอยู่ไม่ต้องแก้ เพราะความผิดฐานประมาทก็เป็นความผิดฐานประมาท ฐานเจตนาก็เป็นเจตนา เพียงแต่ว่าดุลพินิจของศาลวางไว้ว่ากรณีขับรถชนคนจะมึนเมาหรือไม่มึนเมาแล้วแต่มองว่าเป็นเรื่องประมาท เขาไม่ได้มีเจตนาชนคนตาย แต่ว่าเขาควบคุมยานพาหนะไม่ได้ เป็นอุบัติเหตุ เมื่อคนเจ็บก็เป็นประมาททำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ เมื่อชนคนตายก็เป็นประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 
    "ศาลพิพากษามาในแนวแบบนี้มานาน ความเห็นของรัฐบาลหรือความเห็นของผู้มีอำนาจรัฐไม่ใช่กฎหมาย เป็นเพียงความเห็นเป็นนโยบาย แบบนี้น่าจะเป็นเจตนาฆ่า เพียงแต่กฎหมายไม่ได้วางหลักไว้ตรงนั้น กฎหมายต้องมีหลัก หนึ่งหลักตามกฎหมาย ตามมาตรานั้นๆ สองแนวคำพิพากษาที่วินิจฉัยมาตรานั้นๆ ว่าอย่างไร แนวทางวินิจฉัยของศาลมองว่าเป็นเรื่องประมาทไม่ใช่เรื่องเจตนาฆ่า" นายทัศไนยกล่าว
    พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจ กล่าวว่า ความพยายามในการแก้ปัญหาอุบัติเหตุจราจรด้วยการสั่งให้ พงส.แจ้งข้อหาคนเมาขับรถจนเกิดอุบัติเหตุมีผู้ถึงแก่ความตายว่า เป็นการฆ่าคนตายโดยเจตนา ขัดต่อหลักนิติธรรมและกฎหมายอาญาของไทยและทั่วโลกในปัจจุบัน ที่แยกพฤติกรรมฆ่าคนตายกับการกระทำโดยประมาทออกจากกัน  
    "ตามข้อเท็จจริง โทษอาญาขับรถประมาททำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส ที่มีโทษจำคุกถึงสามปี หรือถ้าถึงแก่ความตายก็จำคุกสูงถึงสิบปี ถ้ารัฐตรวจสอบให้ตำรวจบังคับใช้กฎหมายในเรื่องนี้ด้วยความสุจริตและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง คนรวยไม่สามารถวิ่งเต้นต่อตำรวจผู้ใหญ่ให้สั่งล้มคดีได้ เมื่อขับรถเกิดอุบัติเหตุแล้วทำให้บาดเจ็บสาหัสหรือมีคนตาย พงส.ต้องสอบสวนทำสำนวนส่งอัยการฟ้องศาลให้พิพากษาลงโทษทุกราย คนรวยไม่สามารถล้มคดีได้ด้วยจ่ายค่าเสียหายและญาติพี่น้องจนพอใจแล้วไม่ดำเนินการสอบสวน หรือสอบสวนทำลายพยานหลักฐานส่งให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง ผู้คนที่ขับรถโดยประมาทจะเข็ดหลาบ มีความระมัดระวังมากขึ้น ลดอุบัติเหตุและความตายบนถนนของประชาชนลงได้อย่างแน่นอนโดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายให้มีการเพิ่มโทษในมาตราใดเลย" พ.ต.อ.วิรุตม์กล่าว.               


 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"