13 เม.ย.62 - นายเชาว์ มีขวด รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ 73 ปี ประชาธิปัตย์เรายืนหยัดด้วยอุดมการณ์ มีเนื้อหาระบุถึงกรณีที่มีการรายงานข่าวจากสื่อมวลชนหลายสังกัดว่า พรรคพลังประชารัฐ สามารถรวบรวมเสียงส.ส.ได้แล้วกว่า 251 คน โดยในจำนวนดังกล่าวมีว่าที่ส.ส.ประชาธิปัตย์ นำโดยนายถาวร เสนเนียม 35 คนว่า ความจริงตนไม่ต้องการที่จะให้ความเห็นพาดพิงไปถึงพรรคการเมืองอื่น เพราะถือว่าเป็นเรื่องของแต่ละพรรค แต่ที่ต้องพูดเรื่องนี้เนื่องจากมีการระบุถึงพรรคประชาธิปัตย์โดยอ้างตัวเลขว่าที่ส.ส. 35 คน จะไปร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ทั้ง ๆ ที่การตัดสินใจทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์เป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่ ซึ่งจะมีการประชุมใหญ่หลังวันที่ 9 พฤษภาคม ที่จะมีการประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการร้อยละ 95 ของกกต. โดยในขณะนี้ถือว่าตัวเลขว่าที่ส.ส.ของแต่ละพรรคการเมืองยังไม่นิ่ง เพราะยังผันแปรได้ตลอดเวลาจากการให้ใบเหลือง คือจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือใบส้ม คือการระงับสิทธิรับสมัครรับเลือกตั้งของผู้สมัครไว้เป็นการชั่วคราวไม่เกิน 1 ปี ซึ่งจะมีผลต่อจำนวนส.ส.เขตและบัญชีรายชื่อของทุกพรรคการเมืองต้องมาคำนวณใหม่
จึงเห็นว่าการปล่อยข่าวหยั่งกระแสที่ออกมาจากพลังประชารัฐในขณะนี้ เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และยังเป็นการกดดันการทำงานของ กกต.ด้วย เนื่องจากมีการกวาดรวมส.ส.จากพรรคเล็ก 12 พรรคไปรวมด้วย ทั้ง ๆ ที่ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อยุติเลยว่า กกต.จะใช้แนวทางใดในการคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ โดยมีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ดังนั้นการนับคะแนนล่วงหน้าเช่นนี้ จะกลายเป็นการกดดันไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะการคำนวณด้วยแนวทางที่แตกต่างกัน มีผลกับการที่ขั้วใดขั้วหนึ่งจะจัดตั้งรัฐบาลได้ จึงอยากให้ยุติการกระทำดังกล่าว เพราะไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น
นายเชาว์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้การอ้างว่ามีว่าที่ส.ส.ประชาธิปัตย์ 35 คน ไปร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ แต่พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ไปทั้งพรรคนั้น ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานการเมืองที่ไม่เคารพต่อระบบพรรคการเมือง คิดแต่ต้องการจำนวนส.ส.เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองในการก้าวสู่อำนาจเท่านั้น เช่นเดียวกับที่ระบุว่าได้ว่าที่ส.ส.จากพรรคเศรษฐกิจใหม่มาแล้ว 5 คน เหลือเพียงนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ที่อยู่ในระหว่างการเจรจา ทั้ง ๆ ที่นายมิ่งขวัญ เคยยืนยันว่าจะจับมือกับอีกขั้วการเมืองหนึ่ง หากเปลี่ยนขั้วจริงก็จะโดนตราหน้าว่าตระบัดสัตย์ ไม่รักษาสัจจะ ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่าพลังประชารัฐกำลังอยู่ในภาวะไม่เลือกวิธีการขอแค่ให้ได้อำนาจเท่านั้น โดยหากยังเดินหน้าด้วยวิธีการเช่นนี้ แม้อาจได้เสียงส.ส.เกินกว่า 250 คน แต่ก็จะถูกตั้งคำถามถึงความชอบธรรมอยู่ดี
“ยืนยันว่า เท่าที่ได้สอบถามว่าที่ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ก็พูดไปในทิศทางเดียวกันว่า การตัดสินใจทางการเมืองต้องรอให้กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ มีเพียงกลุ่มนายถาวร เท่านั้นที่แสดงออกนอกหน้าว่าต้องการไปร่วมรัฐบาลกับพลังประชารัฐ ซึ่งกลุ่มนี้ก็มีไม่ถึง 35 คน
โดยในพรรคยังมีแนวคิดที่แตกต่างกันระหว่างการร่วมรัฐบาลกับการเป็นฝ่ายค้านอิสระ จึงอยากให้พี่น้องร่วมพรรคไตร่ตรองให้ดี อย่าละทิ้งอุดมการณ์ เพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้า และอยากให้ย้อนไปดูประวัติพรรคประชาธิปัตย์ ที่ก่อตั้งเมื่อ 73 ปีที่แล้วมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจ”
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าในตอนนั้น นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคคนแรก ตั้งพรรคการเมืองนี้ เพื่อเป็นฝ่ายค้านคานอำนาจนายปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี และ ด้วยบทบาทฝ่ายค้านในขณะนั้น ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ กลับมาชนะเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2491 ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลครั้งแรก เส้นทางการเมืองของพรรค มีขึ้น มีลง เป็นธรรมดา แต่ไม่ว่าพรรคจะอยู่ช่วงขาขึ้นหรือขาลง สิ่งที่เรายึดมั่นเสมอมาคือ ผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ใช่ผลประโยชน์ของตัวเอง เพราะ 73 ปีของประชาธิปัตย์เรายืนหยัดอยู่ด้วยอุดมการณ์.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |