'เชาว์'อัด'บิ๊กตู่'ใช้ม.44อุ้มสามบริษัทมือถือเอื้อนายทุน


เพิ่มเพื่อน    

12 เม.ย.62-นายเชาว์ มีขวด รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟสบุ๊กส่วนตัวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจหัวหน้าคสช.ออกคำสั่งที่ 4/2562 เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ยืดระยะเวลาจ่ายเงินค่าประมูลคลื่นของกลุ่มโทรคมนาคม (ค่ายมือถือ) อนุญาตให้ผู้ประกอบการทีวีดิจทัลคืนใบประกอบกิจการได้ ยกเว้นค่าธรรมเนียมประมูลสามงวดและอุดหนุนค่าเช่าโครงข่ายกระจายสัญญาณ ว่า เป็นการใช้อำนาจที่ชี้ให้เห็นว่าขาดธรรมาภิบาลเอื้อทุนใหญ่ ไม่แตกต่างจากสิ่งที่นายทักษิณ ชินวัตร เคยกระทำทุจริตเชิงนโยบายจากการแแปลงสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งในขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และการทุจริตเชิงนโยบายดังกล่าวยังนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯจนขายให้เทมาเสกได้สูงถึง 7.6 หมื่นล้านบาท ทำให้ศาลฎีกาฯพิพากษายึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทให้ตกเป็นของแผ่นดิน

นายเชาว์ กล่าวว่า สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างพฤติกรรมของพล.อ.ประยุทธ์กับนายทักษิณ คือ กรณีทุจริตเชิงนโยบายของนายทักษิณ ยังมีกลไกตรวจสอบจนนำไปสู่การฟ้องร้องในชั้นศาล แต่การใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 เป็นการมัดมือชกประชาชน ยับยั้งไม่ได้ ฟ้องร้องไม่ได้ ไม่สามารถเรียกคืนความเสียหายที่จะเกิดต่อรัฐกลับมาได้ ตัวพล.อ.ประยุทธ์พ้นความรับผิดโดยสิ้นเชิง กฎหมายเอื้อมไปไม่ถึงเนื่องจากมีมาตรา 44 คุ้มกะลาหัวอยู่ จึงถือว่าเลวร้ายกว่ายุคนายทักษิณเสียอีก ซึ่งในความเป็นจริงหาก กสทช.ต้องการช่วยทุนโทรคมนาคม ก็สามารถใช้อำนาจของตัวเองดำเนินการได้ แต่กลับเลือกที่จะเสนอให้ใช้อำนาจมาตรา 44 และพล.อ.ประยุทธ์ก็สนองตอบเสียด้วย จึงมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากต้องการใช้อำนาจพิเศษเพื่อหนีความรับผิดชอบทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต พล.อ.ประยุทธ์ อาจอ้างว่าตัวเองไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเพราะไม่ใช่เจ้าของกิจการที่ได้ประโยชน์จากการออกคำสั่งนี้ แต่ท่านต้องตอบคำถามคนไทยให้ได้ว่า เหตุใดจึงต้องยกผลประโยชน์นับหมื่นล้านให้นายทุน 3 ราย คือ เอไอเอส ทรู และดีแทค ทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัททั้งสามแห่งพุ่งสูงขึ้น ไม่แตกต่างจากบริษัทชินคอร์ปของนายทักษิณในอดีต ทั้งนี้จากการคำนวณของนายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ ระบุว่า ทั้งสามบริษัทจะได้ผลประโยชน์ใกล้เคียงกัน แม้ว่าหนี้ก้อนสุดท้ายที่ยืดออกไปจะใหญ่ไม่เท่ากัน แต่การปรับระยะเวลาในการยืดหนี้ที่แตกต่างกันทำให้สุดท้ายได้ตัวเลประมาณ 8 พันล้านบาท ใกล้เคียงกันอย่างน่ามหัศจรรย์ เสมือนมีการหารือกันมาก่อนเพื่อไม่ให้ได้เปรียบเสียเปรียบกัน ตนเห็นด้วยกับนายสมเกียติว่าทั้งสามบริษัทล้วนได้ประโยชน์มีเพียงประชาชนที่เสียเปรียบ จากการยกผลประโยชน์ 2.4 หมื่นล้านให้กับนายทุน อีกทั้งไม่มีอะไรการันตีว่าทั้งสามบริษัทจะเข้าประมูลคลื่น 5 จี ตามที่ยกมาอ้างในคำสั่งหัวหน้าคสช. เพราะไม่ได้มีการทำสัญญาล่วงหน้าว่าเมื่อได้ประโยชน์จากการยืดหนี้แล้ว ทั้งสามบริษัทมีพันธะต้องยื่นประมูล 5 จี

นายเชาว์ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ก่อนหน้านี้มีความพยายามจะดำเนินการเรื่องนี้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่กระแสสังคมต่อต้าน ประกอบกับพล.อ.ประยุทธ์ มีท่าทีชัดเจนที่จะเข้าสู่สนามการเมือง ทำให้ชะลอไว้ก่อน เมื่อจบการเลือกตั้งค่อยดำเนินการต่อ และยังเลือกทำในช่วงใกล้วันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ส่อให้เห็นว่าเป็นการฉกฉวยจังหวะที่ผู้คนกำลังหยุดพักผ่อน ซึ่งไม่เพียงเป็นการลักหลับประชาชนทีเผลอ แต่ยังเป็นพฤติกรรมที่ขาดความรับผิดชอบทางการเมืองด้วย เพราะหากพล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจพิเศษเอื้อกลุ่มทุนโทรคมนาคมอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง แรงสนับสนุนประชาชนที่ท่านได้อาจแตกต่างไปจากในปัจจุบัน เพราะประชาชนจะทราบความจริงล่วงหน้าว่า “ความสงบที่ท่านอ้างว่าจะได้นั้นต้องแลกด้วยประโยชน์ที่ใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ไปยกให้กับกลุ่มทุน”
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"