สิ่งสะท้อนจาก "อาจารย์เดชา"


เพิ่มเพื่อน    

    "ใบหน้าคน" บ่งบอกความเป็น "ตัวตน" ของคนคนนั้น เห็นจะจริงอย่างที่เขาว่ากัน
    อย่างอาจารย์ "เดชา ศิริภัทร" นั่นไง
    ผมเพิ่งเคยเห็นหน้าท่านจากข่าวเมื่อวาน (๑๑ เม.ย.๖๒) ที่ไปพบ ปปส.
    เห็นแล้วก็ต้องบอกว่า พิมพ์นี้แหละ
    พิมพ์ "พ่อพระ" ของแท้!
    เพราะอย่างนี้ เมื่อ "มูลนิธิข้าวขวัญ" ที่สุพรรณบุรี ถูกตำรวจและ ปปส.ไปตรวจจับ
    ยึดกัญชาวัตถุดิบที่ท่านใช้ทางการแพทย์ สกัดน้ำมันแจกจ่ายผู้ป่วย ไปเป็นของกลาง จับคนในมูลนิธิไปดำเนินคดี
    ตัวท่านเองก็โดนด้วย!
    แต่บังเอิญตอนนั้นไม่อยู่ ต่างประเทศเชิญไปให้ความรู้ด้านกัญชา กลับมาวานซืน ก็ถูกตำรวจไปคุมตัวถึงสนามบิน
    จึงปรากฏว่า พลันข่าวอาจารย์ถูกจับแพร่ออกไป ภาคประชาสังคมก็พรึ่บออกมา
    "เซฟเดชา" ทั้งเมือง!
    ขนาดรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ศรัทธาในการอุทิศตนเพื่อผู้อื่นอันหาได้ยากยิ่งของอาจารย์เดชา ถึงขั้นเอาชีวิตตัวท่านเป็นประกัน
    เนี่ย...ผมติดตามข่าวเป็นระยะ 
    เห็นพลังศรัทธาบริสุทธิ์ภาคประชาสังคมกล้าแข็งปกป้องอาจารย์เช่นนั้น ก็ทึ่งอยู่
    แต่พอได้เห็นหน้าท่าน หายทึ่ง-หายสงสัยไปครึ่ง พอไปค้นข่าว-ค้นประวัติงานท่านมาอ่าน 
    อีกครึ่งที่เหลือ หมดไปทันที........
    ความศรัทธาในงาน "อุทิศ-เสียสละ" เพื่อชาวบ้าน เพื่อผู้ป่วยของท่านเข้ายึดครองใจแทน 
    มารดาท่านเสียชีวิตด้วยมะเร็ง จากนั้น ท่านก็ศึกษา ค้นคว้า สกัดเอาสารจากกัญชามาเป็นน้ำมัน ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง พาร์กินสัน โรคข้อ ลมชัก และ ฯลฯ
    ท่านแจกจ่ายฟรี 
    ผู้ป่วยที่หมดโอกาสรักษาแล้ว หรือผู้ป่วยที่ไม่มีเงินค่ายาตามโรงพยาบาล ก็ได้มาพึ่งพาน้ำมันกัญชาของอาจารย์เดชานี่แหละต่อชีวิต
    อาจารย์เดชา จบจากเกษตร เคยรับราชการ ท่านเป็นผู้ชำนาญด้านพันธุ์ข้าวมาก 
    ลาจากราชการมาคลุกกับชาวไร่-ชาวนาด้านเกษตรอินทรีย์ ใช้ความรู้ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตสังคมที่ไม่มีใครอินังขังขอบสักเท่าไหร่
    อันนี้ "ย่อในย่อ" ให้บางท่านพอได้ทราบความเป็นมา แต่ประเด็นที่หยิบมาพูดคุยวันนี้ อยู่ตรงว่า
    เรื่องจับอาจารย์เดชาและคนในมูลนิธิข้าวขวัญ มันเป็นเรื่อง "ไม่เป็นเรื่อง" จริงๆ!
    คือเรื่องกัญชา ก็ทราบกันแล้ว ๔๐ กว่าปี เป็นของต้องห้ามตามกฎหมายเด็ดขาด
    เพิ่งมาปีที่แล้ว ในรัฐบาล คสช.นี่แหละ 
    สนช.โดย "คุณสมชาย แสวงการ" เป็นเจ้าภาพผลักดัน พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับ ที่ ๗) พ.ศ.๒๕๖๒ 
    "ปลดล็อกกัญชา" จากยาเสพติด ห้ามมี-ห้ามใช้-ห้ามแตะ ด้วยประการทั้งปวง
    มาเป็นให้มี "แบบควบคุม" เพื่อการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ได้
    สรุปเป็นว่า ในช่วง ๙๐ วัน นับจากวันประกาศใช้ พ.ร.บ.นี้ คือจากกุมภา.ไปถึง ๑๙ พฤษภา.๖๒ 
    เป็นช่วง "นิรโทษกรรม" 
    ใครมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อการแพทย์ ก็ไปแจ้งซะไม่ต้องรับโทษ คือไม่มีความผิด
    ตามมาตรา ๒๒ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ.๒๕๖๒ 
    "ผู้ใดมีไว้ในครอบครองกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ การรักษาผู้ป่วย การใช้รักษาโรคเฉพาะตัว หรือการศึกษาวิจัย อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ไม่ต้องรับโทษ เมื่อยื่นคำขอรับใบอนุญาตต่อเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ รวมทั้งผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคเฉพาะตัว และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด 
    ในกรณีไม่ได้รับอนุญาต ให้ยาเสพติดให้โทษนั้นตกเป็นของกระทรวงสาธารณสุขหรือให้ทำลาย"
    เนี่ย....
    ประเด็นที่เกิดการเล่นแง่กัน มันอยู่ตรงนี้ มูลนิธิอาจารย์เดชา ท่านก็มีกัญชาเพื่อสกัดเป็นน้ำมันกัญชาแจกจ่ายผู้ป่วย
    เมื่อต้นเดือนเมษา.ตำรวจสุพรรณฯ กับ ปปส.ก็ไปค้นยึดกัญชา จับเจ้าหน้าที่ไปขังดำเนินคดี จะจับอาจารย์ด้วย
    ถามว่า ใครผิด-ใครถูก?
    ไม่มีใครผิด "ถูกทั้ง ๒ ฝ่าย"
    ตำรวจไปจับ ข้อหาผลิตและมีกัญชาในครอบครอง ก็ทำหน้าที่ถูกตามกฎหมาย
    แต่อาจารย์มีคำแถลงเมื่อ ๑๐ เมษา.ว่า.......
    "......หลังจาก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับปรับปรุงแก้ไข มีผลบังคับใช้ในช่วงต้นปี ๒๕๖๒ เป็นต้นมา และเปิดโอกาสให้ “หมอพื้นบ้าน” สามารถยื่นขอนิรโทษกรรมการมีกัญชาเพื่อครอบครองทางการแพทย์ได้นั้น 
    ก่อนการเดินทางไปประเทศลาว ผมได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ยื่นเรื่องขอนิรโทษกรรม แต่กลับมาถูกจับกุมเสียก่อน ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในระยะเวลา ๙๐ วัน
    ผมเพิ่งทราบด้วยว่า หลังจากที่ตัวแทนของผมได้ยื่นต่อเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอนิรโทษกรรมเมื่อวานนี้ (๑๐ เมษายน ๒๕๖๒) 
    แต่ได้รับการปฏิเสธ โดยอ้างว่าการยื่นขอนิรโทษกรรมต้องมีหลักฐานว่าได้ครอบครองกัญชา ซึ่งตำรวจได้ริบไปหมดแล้ว 
    อีกทั้งอ้างว่าไม่มีหลักฐานยืนยันว่าผมเป็นหมอพื้นบ้าน ซึ่งจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ทั้งๆ ที่มีหนังสือรับรองจากมูลนิธิสุขภาพไทยที่เป็นผู้ประสานงานเครือข่ายหมอพื้นบ้านทั่วประเทศ ได้แสดงหลักฐานยืนยันก็ตาม"
    ตรงนี้ถือว่าอาจารย์เดชาก็ถูกเช่นกัน คือถูกตามเงื่อนไขกฎหมาย ช่วง ๙๐ วัน 
    แต่เอาเถอะ เรื่องนี้เหมือน "ช้างตัวเดียวกัน" แต่คลำคนละที่ ไร้ประโยชน์ที่จะเถียงเอาแพ้-ชนะ
    สิ่งที่วิญญูชนพึงคิดและใคร่ครวญกรณีนี้ ก็คือ
    จงให้เกียรติและศรัทธาในกันและกัน
    ตำรวจ-ปปส.ก็มีดี
    อาจารย์เดชา ก็มีดี
    ในเมื่อ มุ่งประโยชน์ชาติ-ประโยชน์ประชาชนด้วยกัน
    เอาดีต่อดีนั้นเข้าประสานกัน แทนต่างฝ่าย-ต่างถือดี
    เรื่องนี้ ก็มีทางออก 
    เป็นทางออกที่สร้างสรรค์ในวิสัยทัศน์นวัตกรรมต่อยอดกัญชา ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทางมนุษยชาติ
    และทางวิทยาการ ทางเศรษฐกิจ ทั้งภาคประชาชนและภาครัฐ ซึ่งจะอลังการ-ไพศาลในความเป็น "ประเทศชาติ" ของเราโดยตรง
    คนดีมีวิชาความรู้ ทุ่มเทมุ่งประโยชน์ชาติ-ประโยชน์ประชาชน เป็นที่ตั้ง 
    บุคคลจำพวกนี้ "ศรัทธาในปณิธาน" จะอยู่ในตำแหน่งสูงส่งกว่ากฎระเบียบทั่วไปอยู่บ้าง
    ฉะนั้น ในความเป็นทรัพยากรบุคคลคุณภาพของชาติ ระดับ "ปราชญ์ชาวบ้าน" อย่างเช่น อาจารย์เดชา
    ฝ่ายนโยบาย คือภาครัฐ ไม่ต้องให้อะไรเขามากเลย
    เพียงให้ "ความเข้าใจ" ในสิ่งที่เขาทำ ก็เหลือล้น
    เห็น "คุณค่า" ในภูมิปัญญา "คิด-ประดิษฐ์-ต่อยอด" บนความเป็นปราชญ์ชาวบ้านของเขา
    อ่าน "สามก๊ก" กันมาทั้งนั้น แล้วไม่เข้าใจหรือ ทำไม "เล่าปี่" จึงต้องปีนเขาโงลังกั๋ง ไปยืนตากแดด-ตากน้ำค้าง ๓ ครา ๗ ครา
    ก็เพื่อจะได้ "ขงเบ้ง" มาร่วมสร้างเมือง!
    อย่างอาจารย์เดชา ก็ดี นายบัณฑูร นิยมาภา "ลุงตู้" เจ้าของตำนาน "สารสกัดจากกัญชาไทย" ก็ดี
    ทรัพยากรบุคคลของชาติทางกัญชา มีคุณค่าทางการวิจัย-พัฒนา เพื่อต่อยอดพืชกัญชาโดยแท้
    จะต้องให้เขาเดินมายืนกุมเป้าหน้าโต๊ะเจ้าหน้าที่ เพื่อกราบกรานร้องขอนิรโทษกรรมอย่างนั้นหรือ?
    เป็นผม ผมก็ไม่มา.....
    อยากจับก็จับไป จับแล้วรัฐคิดว่าการเอาปราชญ์กัญชา มีค่าเป็นแสนๆ ล้าน เข้าคุก ประเทศชาติได้ประโยชน์ ก็เชิญเลย!
    เพราะภาคราชการ ยังคิดแบบ ๐.๐ นี่แหละ เราจึงเสีย "ลุงตู้" ไปแล้ว ๑ คน 
    ประเทศลาวเห็นคุณค่า เชิญลุงตู้ไปทำโครงการสกัดกัญชาทางการแพทย์ของประเทศลาว ชนิดเป็นทางการไปแล้ว!
    เห็นลุงตู่จะตั้ง "กระทรวงวิจัย" ผมก็ดีใจ เหมือนเห็นทางช้างเผือกพาดบนท้องฟ้า
    แต่เมื่อมีคนทรงคุณค่า กลับปล่อยให้เจ้าหน้าที่หัวลูกเต๋า ใช้เงื่อนไขเล็กๆ น้อยๆ ในกระดาษ ตั้งเป็นแง่ปฏิเสธคน
    ทีพวกบริษัทยาขาใหญ่ละก็ กุลี-กุจอกันดีนัก!
    เรื่องอาจารย์เดชา ดูเหมือนจะลงเอยด้วยดี เป็นกรณีตัวอย่าง ให้รัฐบาลลุงตู่ต้องคิด
    คือ ขารัฐบาล ก้าวไปข้างหน้า 
    เวลาเดียวกัน ขาข้าราชการ อย่าต้องให้เอ่ยหน่วยไหนในสาธารณสุข กอดชามข้าว ถอยไปข้างตะพึด!
    เป็นรัฐบาลเลือกตั้งแล้ว..........
    ถ้าลุงตู่ "ไม่ปฏิรูป" ระบบราชการ 
    ก็คงต้องให้ "คุณธนาธร" ตี๋น้อยของ "คุณสมพร" มาปฏิรูปแทนละกระมัง?.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"