เปิดเส้นทาง "บิ๊กโจ๊ก" จากดาวรุ่งสู่ดาวร่วง


เพิ่มเพื่อน    

      “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ตวัดปากกาเซ็นคำสั่ง เด้ง “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) เข้ากรุประจำที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) โดยให้ขาดจากตำแหน่งเดิม

      เนื้อหาคำสั่งระบุว่า “เพื่อให้การปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 และข้อ 8 (1)  แห่งระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการภายในสํานักงานตํารวจแห่งชาติ พ.ศ.2552 จึงให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติอาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมาย ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 5 เมษายน 2562”

      ฟ้าผ่าหน้าแล้ง “กรมปทุมวัน” อย่างแท้จริง ในเมื่ออาชีพราชการตำรวจของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ผบช.สตม. เป็นนายตำรวจคนสนิทของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดยตรง เป็นนายตำรวจที่ “มากบารมี” ได้รับความไว้วางใจแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) วาระการแต่งตั้งผู้บัญชาการ ปี 61 อีกบทบาทเป็นรองหัวหน้าศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ดูแล 12 หน้างานการกระทำความผิด ครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งการกวาดล้างจับกุมนายทุนปล่อยกู้ดอกเบี้ยโหด เอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน นับเป็นการล้างบางผู้มีอิทธิพล คืนโฉนดที่ดินและทรัพย์สินต่างๆ ทั่วประเทศหลายหมื่นล้านบาท  ผลงานเป็นรูปธรรมจับต้องได้ เป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาล คืนความสุขให้ประชาชนอย่างแท้จริง

      สำหรับชีวิตราชการตำรวจของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล พื้นเพเป็นคนจังหวัดสงขลา ครอบครัวบิดาเป็นอดีตข้าราชการชั้นประทวน เคยทำงานใกล้ชิด พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์ อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ และเป็นบิดาของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีต ผบ.ตร. เรียนที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา ก่อนสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 31 แยกเหล่าเป็นนักเรียนนายร้อยรุ่น 47 ดีกรีผู้นำรุ่น จบหลักสูตรติดดาวรับราชการตำรวจ “ร.ต.ต.” เป็นรองสารวัตร (รอง สว.) ในพื้นที่นครบาล ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.2537 ปี 2543 ขึ้นเป็นสารวัตร (สว.) สถานีตำรวจทางหลวง 4 กองกำกับการ 5 (เชียงใหม่) ขึ้นเป็นผู้กำกับ ปี 2551 ที่กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) ก่อนที่จะย้ายกลับบ้านเกิดเป็น ผกก.สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พื้นที่เศรษฐกิจของภาคใต้

      ด้วยบุคลิกของ “บิ๊กโจ๊ก” เป็นคนที่มีอัธยาศัยดี เข้าหาง่าย ไม่ถือตัว พรรคพวกเพื่อนฝูง หรือผู้ใหญ่ฝากฝังงานให้รับผิดชอบจะตอบรับทันที “ครับๆ ได้ครับพี่ ได้ครับผม” จนเป็นที่ไว้วางใจของผู้บังคับบัญชาจนได้ฉายา “โจ๊กหวานเจี๊ยบ” เช่นเดียวกันการพัฒนาโรงพัก สภ.หาดใหญ่ ไม่นานได้รับประกาศนียบัตร “สถานีตำรวจเพื่อประชาชนดีเด่น” ต่อเนื่อง ก่อนจะขึ้นเป็นรองผู้บังคับการจังหวัดสงขลา สวมหมวกอีกใบคือ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลาส่วนหน้า ดูแลพื้นที่ อ.จะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา จ.สงขลา 4 อำเภอพื้นที่สีแดง ภัยความไม่สงบต่อเนื่องชายแดนใต้ และได้ใกล้ชิดกับ พล.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

      ด้วยบทบาทหน้าที่ส่งให้ได้รับสิทธินับอายุราชการแบบทวีคูณ สำหรับใช้นับอาวุโสในการแต่งตั้งเฉกเช่นตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงภัย 3 จังหวัดชายแดนใต้นายอื่นๆ ครอบครองวันทวีคูณ 1 ปี 5 เดือน คือนับเพิ่มอาวุโสจากวันปฏิบัติราชการจริง ต่อมาสิทธินี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ยกเลิกเมื่อปี 2558 และสิทธิแบบทวีคูณดังกล่าวส่งผลให้ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบก.จว.สงขลา ที่นับอายุราชการได้ 2 ปี 8 เดือน บวกกับแบบทวีคูณ 1 ปี 5 เดือน ครบกำหนดขึ้นติด “นายพล” นอกวาระการแต่งตั้งปี 57 เป็นผู้บังคับการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่มี พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็น ผบ.ตร. ทำหน้าที่นายตำรวจประสานงาน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

      ปี 58 ขยับเป็นผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว (ผบก.ทท.) สร้างผลงานโดดเด่นได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ได้ร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการเป็นเจ้าบ้านที่ดีรองรับนักท่องเที่ยว สร้างรายได้เข้าประเทศมูลค่ามหาศาล การแต่งตั้งวาระปี 59 ขยับเป็นผู้การเมืองหลาง ผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (ผบก.สปพ.) หรือ 191 ปี 60 วาระการแต่งตั้งผู้บัญชาการถึงผู้บังคับการ (ผบช.-ผบก.) มีการปรับโครงสร้างตั้งกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว “บิ๊กโจ๊ก” ขยับเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (รอง ผบช.ทท.) กระทั่งวาระการแต่งตั้ง 61 นายพลผู้มากบารมีติดยศ “พล.ต.ท.” เป็นผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.)

      อีกไม่กี่ก้าวจะสามารถก้าวขึ้นไปเป็นเบอร์ 1 ในนามเรียกขาน “พิทักษ์ 1” ซึ่งตามกฎคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ระบุไว้ว่า เป็นผู้บัญชาการ (ผบช.) 1 ปี สามารถขึ้นเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) เป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. 1 ปี สามารถขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) หรือจเรตำรวจแห่งชาติ เมื่อเป็นรอง ผบ.ตร. เก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ “ผบ.ตร.” ก็ไม่ไกลเกือนเอื้อม แต่ต้องมาตกม้าตายถูกคำสั่งเด้งประจำ ศปก.ตร. ก่อนที่ ผบ.ตร.จะเซ็น “ดาบสอง” ให้ขาดจากทุกตำแหน่ง ทุกหน่วยเฉพาะกิจที่มีการจัดตั้งขึ้น ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้ ม.44  ให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ขาดจากตำแหน่งและอัตราเงินเดือนในสำนักงานตำรวจ เพื่อโอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง เป็นที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

      นายพลดาวรุ่งที่ถูกจับตามองว่าจะก้าวถึงเก้าอี้ “ผบ.ตร.” ต้องริบหรี่ แต่ด้วยอายุราชการอีกกว่า 11 ปี เขาอาจจะกลับได้ เช่นเดียวกันกับ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ อดีต ผบ.ตร.ที่เคยถูกโอนย้ายไปเป็นข้าราชการพลเรือนที่สำนักนายกฯ แต่ก็กลับมาคว้าเก้าอี้เบอร์ 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อยามฟ้าเปิด.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"