จากการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2560 นำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อเดินหน้าดำเนินการขับเคลื่อนโครงการ “คนกาฬสินธุ์ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” หรือ “กาฬสินธุ์แฮปปี้เนส 2019” เพื่อแก้ปัญหาความยากจน โดยให้แนวนโยบายใช้กิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของกาฬสินธุ์
    แนวนโนบายดังกล่าว นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จึงได้มอบนโยบายให้หน่วยงานด้านการท่องเที่ยวดึงศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดกาฬสินธุ์ออกมา โดยให้เชื่อมโยงศิลปวัฒนธรรม อาหาร ผลิตภัณฑ์ ดนตรี แหล่งขุดค้นทางโบราณคดี ให้สามารถนำมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอีกทางหนึ่ง
    การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงได้กำหนดแนวทางในการดำเนินงานด้านการตลาด โดยการเปิดการรับรู้และภาพจำใหม่ของจังหวัดกาฬสินธุ์ ด้วยการนำเสนอมุมมองเชิงสร้างสรรค์ในแนวคิด “ทุกสิ่งสร้างสรรค์ ณ กาฬสินธุ์”

    ทั้งนี้ ททท.ได้นำเสนอภาพถ่ายและเผยแพร่ในแนวคิด มอง “กาฬสินธุ์” ในมุมใหม่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เห็นภาพปัจจุบันของจังหวัดกาฬสินธุ์ทั้งเชิงวิถีชีวิตในเมือง วิถีชีวิตในพื้นที่อำเภอต่างๆ รวมไปถึงแหล่งเรียนรู้ทางโบราณคดี ชีววิทยาที่มีความทันสมัย และเป็นแหล่งเรียนรู้ซากดึกดำบรรพ์ที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งภาพ KALASIN 's ePOSTER เน้นการเผยแพร่ทางออนไลน์เป็นหลัก เพื่อให้ส่งต่อภาพเหล่านี้ให้กัน เป็นการสร้างแรงบันดาลใจในการเดินทาง ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูภาพหรือดาวน์โหลดได้ที่ https://www.facebook.com/eGREETTAT อัลบั้มกาฬสินธุ์มุมใหม่

    นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า “ภาพในอดีต กาฬสินธุ์เป็นจังหวัดที่มีภาพจำที่ไม่เหมาะกับการเดินทางท่องเที่ยวนัก แต่ปัจจุบันการพัฒนาด้านการคมนาคมทำให้การเดินทางมายังจังหวัดกาฬสินธุ์เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น มีสนามบินใกล้เคียงถึง 2 แห่ง คือ ท่าอากาศยานร้อยเอ็ด และท่าอากาศยานนานาชาติขอนแก่น และใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ททท.ได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจเชิงลึกและมองหาแง่มุมใหม่ๆ ของกาฬสินธุ์เพื่อขยายภาพพื้นที่เพื่อการท่องเที่ยวให้มากขึ้น เป็นการ branding กาฬสินธุ์ในมุมมองเก๋ไก๋ เช่น กลุ่มผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพอาคาร ภายในอำเภอเมืองมีย่านเมืองเก่า ได้แก่ ถนนผ้าขาว ถนนโสมพะมิตร ถนนธนะผล ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารเก่าแก่ เช่น โรงภาพยนตร์หลักเมืองภาพยนตร์ ศาลเจ้าปึงเถ่ากงม่ากาฬสินธุ์ อาคารเรือนไม้เก่าแก่ตั้งอยู่หลายจุด เป็นจุดถ่ายภาพที่อยู่กลางเมือง นอกจากนี้ยังมีอาคารเก่าแก่ที่ได้รับการปรับปรุงเป็นร้านกาแฟเก๋ เช่น ร้าน Café de SUPAK อยู่ตรงวงเวียนน้ำพุ

สำหรับนักท่องเที่ยวสายชิลก็มีตลาดโรงสีเป็นแหล่งรวมอาหารที่หลากหลาย ทั้งอาหารถิ่น อาหารที่ได้รับการสร้างสรรค์ให้มีรูปแบบตอบรับกับการเป็นเมืองไดโนเสาร์ หรืออาหารนานาชาติ อย่างอาหารอิตาเลียนที่นี่ก็มีให้ได้ลิ้มลองในบรรยากาศสบายๆ

ส่วนนักท่องเที่ยวสายวัฒนธรรม ซึ่งคนส่วนใหญ่ของกาฬสินธุ์เป็นชาวผู้ไท ซึ่งต่างก็มีวิถีชีวิตและงานฝีมือที่ต่างกัน เช่น การทอผ้าไหมแพรวาบ้านโพน อำเภอคำม่วง ซึ่งเป็นการทอผ้าไหมมัดหมี่ที่มีลวดลายเฉพาะตัว และการสร้างสรรค์สี ลายทอที่เข้ากับยุคสมัยโดยไม่ทิ้งเอกลักษณ์ที่โดดเด่น

นอกจากนี้ยังมีหมู่บ้านวัฒนธรรมผู้ไทโคกโก่ง ที่มีฝีมือในการปักผ้าเป็นลวดลายประดับคอเสื้อ ข้อมือ สาบเสื้อ หรือขอบกระเป๋า ซึ่งมีความละเอียดลออ สำหรับนักชิมเองก็มีอาหารให้ได้ลองลิ้ม อาทิ อาหารห้ามพลาดอย่างกุ้งเผา ไส้กรอกปลา หมูทุบบ้านนาจารย์ หรืออาหารสุขภาพอย่างตำเมี่ยงตะไคร้ ซึ่งเชื่อแน่ว่าสีสันทางการท่องเที่ยวใหม่ๆ นี้จะเป็นภาพจำใหม่ๆ ให้กับนักท่องเที่ยวได้”
ในแผนการดำเนินงานต่อจากนี้ ททท.จะนำเสนอเนื้อหาของจังหวัดกาฬสินธุ์ผ่านสื่อต่างๆ โดยให้เห็นถึงความน่าสนใจด้วยมุมมองที่สร้างสรรค์เพิ่มเติมโดยไม่ละทิ้งเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรม เพื่อให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่ได้ตลอดทั้งปี

นายยุทธศักดิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากการเริ่มนำเสนอจังหวัดกาฬสินธุ์ผ่านภาพถ่ายและข่าวสารในช่องทางต่างๆ แล้ว ททท.ยังได้ดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นการเดินทางในจังหวัดกาฬสินธุ์ตลอดทั้งปีด้วย อาทิ การจัดเทศกาลสงกรานต์ ที่จะเนรมิตไดโนเสาร์พ่นน้ำ และเล่นน้ำร่วมกับไดโนเสาร์ให้ได้ชุ่มฉ่ำกันทั่วเมือง ในเดือนพฤษภาคมจะจัดงานดีโนศิลป์ถิ่นอาร์ต เป็นการรวบรวมศิลปินทั้งชาวกาฬสินธุ์และต่างถิ่นมานำเสนองานศิลปะหลากหลายรูปแบบ อาทิ ดนตรี Grafitti งานปั้น งานเหล็ก การจัดงานมหกรรมอาหาร หรือการแสดงดนตรีที่สร้างความประหลาดใจได้อย่างแน่นอน ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้ภายใต้นโยบายของรัฐบาล และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรองตามแคมเปญ Amazing Thailand Go Local หรือ เที่ยวท้องถิ่นไทย ชุมชนเติบใหญ่ เมืองไทยเติบโต ที่ส่งเสริมให้เกิดการเดินทางไปท่องเที่ยวในเมืองรอง เพื่อให้การท่องเที่ยวช่วยสร้างรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำให้กับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน.