ฝรั่ง 'ในทัศนคติไทย' วันนี้


เพิ่มเพื่อน    

    ผมว่าช่วงนี้ คนไทยเราต้อง "ตั้งสติ" เป็นพิเศษในการเสพข่าวสาร
    ไม่อย่างนั้นจะ "ถลำคิด"
    พาประเทศเข้าไปติดกับดักของ "บางกลุ่มการเมือง" ที่คบคิดกับ "จักรวรรดินิยมอำนาจตะวันตก" ขับเคลื่อนโดยองค์การ CFR 
    เจตนาหวังมีอิทธิพลเหนือประเทศ ใช้ไทยเป็นฐานควบคุมอุษาคเนย์ อย่างที่ทราบกัน!
    จะสังเกตเห็นว่า ยุทธวิธีหนึ่งในการชิงเมือง-ชิงอำนาจของทักษิณ 
    ด้านข่าวสาร จะจ้างสื่อนอก เหยียบประเทศ โปรตัวเขา
    ด้านภาพลักษณ์ จะอิงภาพฝรั่งโดยจ้างคนตามองค์การระหว่างประเทศและเจ้าหน้าที่สถานทูตมาเป็นแนวร่วม
    ด้านสังคมปกครอง จะจ้างพวกอาจารย์บางกลุ่มทำหน้าที่ "ปัญญาชนวิพากษ์" ด้วยทฤษฎีวิชาการฟอกโจร
    ก็อย่างที่ทราบกันทั้งโลก..........
    "ประเทศไทย" ล้มไม่ยาก
    ถ้า "ล้มสถาบันกษัตริย์" ได้ ก็ "ล้มประเทศไทย" ได้!
    เพราะเหตุนี้ เราจึงสังเกตเห็นว่า ในความพยายามของศัตรูทั้งในและนอกชาติที่หวังเป็นเจ้าเข้าครองประเทศ
    จะทุ่มการโจมตี "จุดเดียว"
    คือสถาบันกษัตริย์!
    แต่นั่น มันฉลาดในโง่ที่บัดซบ กับคนไทย "อะไรก็พูดกันได้" แต่กับเรื่อง "สถาบันกษัตริย์"
    อย่าทะลึ่ง....
    ก้ำเกินล้นกรอบแม้นิดเดียว ไม่มึงก็กู ตายกันไปข้าง แม้ถึงนรก ก็อย่าหมายว่าคนไทยจะยอมให้มึง
    การเข้าครองประเทศไทยมันจึงยาก ด้วยเหตุนี้แหละ!
    บางทีเราก็สงสัยในตัวเราเองอยู่เหมือนกัน ในกรณี "ค่านิยมฝรั่ง"
    คือโดยทั่วไป คนไทย "เห่อฝรั่ง-บูชาฝรั่ง" ยิ่งใครมีแฟนต่างชาติเป็นฝรั่งหัวแดง ดูจะมีหน้ามีตา
    คนไทย "สยบยอมฝรั่ง" มาก 
    ฝรั่งทำอะไร ว่าอะไร ไม่ต้องคิด คนไทยเชื่อเลย ผมเคยมีประสบการณ์กับตัวเองด้วยซ้ำ
    คือมีข่าวชิ้นหนึ่ง หนังสือพิมพ์ภาษาไทยตีพิมพ์ไปแล้ว ๒-๓ วัน ต่อมา หนังสือพิมพ์ฝรั่งในไทย ลอกเอาข่าวนั้นไปแปลลงหน้า ๑ ของเขา
    รุ่งเช้า ผู้คุมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยเห็นเท่านั้นแหละ 
    คว้าพิมพ์ดีดแปลข่าวจากที่เราลงไปเองแท้ๆ แต่ฝรั่งลอกเอาไป ตาหูตาแหกลอกกลับ ให้เอามาลงอีก ด้วยศรัทธาและตื่นเต้นว่า "ข่าวฝรั่ง"
    มีเรื่องเดียว ตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยาโน่นแล้ว ที่คนไทยไม่เชื่อฝรั่ง 
    แถมจะ "เตะปาก" ฝรั่งเอาด้วยซ้ำ
    คือเรื่องลบหลู่ มุ่งร้าย ฝักใฝ่ล้มล้าง "สถาบันกษัตริย์"!
    ก็จะเห็นว่า ในการจลาจลเมืองและการกวนเมือง "มุ่งร้ายสถาบัน" ของทักษิณ ในรอบ ๒ ทศวรรษ 
    ดึงองค์การนอกชาติและจ้างฝรั่งมาเข้าฉากกลางถนน หลายต่อหลายครั้ง จะแทบทุก "นัดสำคัญ" ก็ว่าได้
    เผาเมืองได้..........
    แต่ระบอบทักษิณ "ล้มสถาบันกษัตริย์ไม่ได้" และไม่มีทางทำได้!
    มุก "จ้างฝรั่ง" ชักแป้ก 
    สังคมไทยเริ่มรู้สันดานฝรั่งมากขึ้น ฝรั่งกลายเป็นตัวตลกในสายตาคนไทยมากขึ้น
    มองกลับอีกมุม จะเห็นทัศนคตินิยมของคนไทยต่อภาพฝรั่ง ผ่านสัตว์เลี้ยง ประเภทสุนัข
    คนไทย ชอบซื้อ "หมาฝรั่ง" มาเลี้ยง
    การไปไหน-มาไหน จูงหมาฝรั่งไปด้วย หรือมีหมาฝรั่งเดินตามตูด มันโก้!
    มองในมุมนี้ ก็พอเข้าใจทัศนคติพื้นฐาน "แก๊งธนาธร"
    กะอีแค่ไปรับทราบข้อกล่าวหาโรงพัก.......
    จูงฝรั่งพันธุ์สถานทูตและพันธ์องค์การระหว่างประเทศไปเป็นฝูง!
    เห็นกระทรวงการต่างประเทศว่า ทางธนาธรไปเชิญเขามาสังเกตการณ์
    แต่ทางโฆษกพรรคธนาธรอ้างว่า เปล่านา...เขามาเอง!
    มาเองหรือเชิญมา......
    ในสายตาคนไทยวันนี้ เหมือนเอาฝรั่งหรือจิ้งจกทัดหู ค่าแห่งความจั๊กจี้-จั๊กเดียม เท่ากัน
    การเป็น "ขี้ข้าฝรั่ง" ไทยไม่เคย จึงยังไม่รู้รส และระริกนัก
    เอาอย่างนี้ ผมจะยกเรื่องที่ "สยามานุสสติ" เขาเผยแพร่มาให้อ่าน บางที อาจช่วยให้ลดลงได้บ้าง
    การเป็นอาณานิคมชาติตะวันตกมีผลดีมากกว่าผลเสียจริงหรือไม่? 
    มาฟังคนอินเดียพูดดีกว่า! 
    มีวาทกรรมของเด็กรุ่นใหม่ บางคนบางกลุ่ม มักพูดว่า ไทยล้าหลัง ภาษาอังกฤษก็ไม่เก่ง เลยสู้ชาวบ้านไม่ได้ เพราะเป็นเอกราชมาตลอด ถ้าเป็นเมืองขึ้นฝรั่งป่านนี้เจริญก้าวหน้าแล้ว
    พวกไม่ภูมิใจในความเป็นไท ไม่ภูมิใจในความเป็นเอกราช ที่พระมหากษัตริย์ทุ่มเทสติปัญญาและเหล่าบรรพชนเอาชีวิตและเลือดเนื้อเข้าแลกมา.... 
    ลองมาดูกันว่า ในประวัติศาสตร์ชาวอินเดียเป็นยังไง
    ตอนหนึ่งของรายการ Q&A ของช่อง ABC กำลังเป็นไวรัล ช่วยไขความกระจ่างมายาคติ เรื่องการเป็นอาณานิคมชาติตะวันตกมีผลดีมากกว่าผลเสียจริงหรือไม่ 
    มีผู้ชมในรายการบอกกับศะศิ ถะรูร (Shashi Tharoor) นักการเมืองและผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมว่า การที่อินเดียตกเป็นอาณานิคมอังกฤษ มีส่วนช่วยให้อินเดียมีความเจริญก้าวหน้าด้านวิศวกรรม สาธารณูปโภค รวมถึงทำให้อินเดียเป็นชาติประชาธิปไตย 
    ที่สำคัญคือ ทำให้...........    
    “ชาวอินเดียได้รับการศึกษาอย่างรวดเร็ว โดยมีคุณ (ศะศิ ถะรูร) เป็นตัวอย่างที่ดี ไม่มีใครสามารถประเมินคุณูปการที่เป็นนามธรรมที่อินเดียได้รับหลังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ และทำให้ประเทศนี้เป็นหนึ่งในประเทศที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก” 
    จากคำถามนี้ ดูเหมือนชาวอังกฤษจะมีคุณต่ออินเดียจริงๆ ช่วยเปลี่ยนประเทศที่ด้อยพัฒนาให้กลายเป็นชาติมหาอำนาจ! 
    แต่ศะศิ ถะรูร แย้งด้วยข้อเท็จจริงเป็นฉากๆ ว่า...
    “ตอนที่อังกฤษเข้ามายึดครองนั้น อินเดียเป็นหนึ่งในดินแดนที่มั่งคั่งที่สุดในโลก มีสัดส่วน GDP คิดเป็น 27% ของทั้งโลก ในราวปี 1700 และอยู่ที่ 23% ในปี 1800 ต่อหลังจากครอบงำอินเดียแล้ว
     ในช่วง 200 ปีหลังจากนั้น อินเดียถูกทำลาย ถูกขูดรีด ถูกปล้นชิง กลายเป็นประเทศที่ยากจนข้นแค้น มีสัดส่วน GDP เพียง 3% ของทั้งโลก!
    และตอนที่อังกฤษจากไปในปี 1947 ประชากร 90% มีสถานะเป็นคนยากจน ขณะที่อัตราการรู้หนังสืออยู่ต่ำกว่า 17% และอายุขัยเฉลี่ยของประชาชนอยู่ที่เพียง 27 ปี!
    อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาณานิคมบริติชอินเดีย ระหว่างปี 1900-1947 อยู่แค่ 0.0001%  อันเป็นผลมาจากการสูบทรัพยากรและการขูดรีดจากภาษี!”
    และในส่วนของความก้าวหน้าทางการศึกษาที่ศะศิถูกแซะนั้น เขาบอกว่า
    “คุณพระช่วย!
    การศึกษาเป็นเรื่องสุดท้ายที่พวกบริติชจะลงทุนให้คนอินเดีย”
    แล้วยกตัวอย่างจากบันทึกของชาวอเมริกันที่เดินทางมาอนุทวีปในเวลานั้นว่า 
    งบประมาณการศึกษาของอินเดียทั้งประเทศ ตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงอุดม ช่วงทศวรรษที่ 1930 ยังน้อยกว่างบของโรงเรียนมัธยมครึ่งหนึ่งในรัฐนิวยอร์กเสียอีก 
    ส่วนที่ว่าอังกฤษทิ้งความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมเอาไว้ให้ ก็เป็นผลงานของรัฐบาลอินเดียเองที่ริเริ่มหลังได้รับเอกราช 
    ศะศิ ถะรูร ทิ้งท้ายว่า
    “ไม่มีอะไรเทียบได้กับความสำเร็จของอินเดียที่ผงาดขึ้นจากกองเถ้าถ่าน! ต่อสิ่งที่อังกฤษย่ำยีไว้และกระทำต่อเราตลอดช่วง 200 ปีก่อนหน้า”
    ทิ้งท้าย (จริงๆ) เขาเสริมว่า อินเดียเคยเป็นผู้ส่งออกสิ่งทอรายใหญ่ของโลกมาตลอด 2,000 ปี 
    จนกระทั่งอังกฤษทำลายอุตสาหกรรมนี้ลงในนามของการค้าเสรี ด้วยการทุบรื้อกี่ทอและตั้งพิกัดภาษีสูงลิ่ว ถึงขนาดตัดนิ้วคนทอผ้า และทำให้ชุมชนฉิบหาย คนตายข้างถนนเป็นเบือ เพื่อประโยชน์อุตสาหกรรมของอังกฤษเอง
    “การค้าเสรีที่ใช้ปืนจ่อหัวมันเสรีตรงไหน?”
    ยังมีตัวอย่างของ “วีรบุรุษ” วินสตัน เชอร์ชิล ที่สั่งให้ขนธัญญาหารไปอังกฤษ อ้างว่าจะเตรียมการสงครามที่ยังไม่เกิดขึ้น จนชาวเบงกอลอดตายกว่า 4.3 ล้านคน แล้วบอกว่า
    “เป็นความผิดของพวกนั้นเองที่เอากันเหมือนกระต่าย” 
    “ทำไมคานธีไม่ตายไปซะที”
    คำตอบของ ศะศิ ถะรูร ทำให้ชาวอินเดียตาสว่างไม่น้อยและกลายเป็นไวรัลอยู่ตอนนี้ 
    ในส่วนของคนไทยบางคน น่าจะช่วยให้เกิดสติยั้งคิดได้ว่า การตกเป็นอาณานิคมเพื่อแลกกับการพูดภาษาอังกฤษเก่งๆ มีผังเมืองสวยๆ ฯลฯ 
    เป็นการเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือชัดๆ
    ที่มา http://www.siammanussati.com/ศะศิ-ถะรูร-นักการเมือง
    ครับ....
    สังคมเครือข่าย เป็นสังคม "สื่อสารสองทาง" ที่เรียก "โซเชียลมีเดีย" 
    โซเชียลมีเดีย เป็นโทษหรือเป็นประโยชน์ ไม่ได้อยู่ตรงสื่อโซเชียล หากแต่อยู่ตรง "การรับ-การส่ง" ข่าวสาร 
    เรา "รับ-ส่ง" ด้วยสำนึกวิเคราะห์ ก่อนเชื่อ, ก่อนโพสต์, ก่อนแชร์ หรือไม่ นั่นหลักใหญ่
    ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาของคนมีปัญญา
    เช่นเดียวกัน สังคมยุคไซเบอร์ เป็นสังคมวิสัยทัศน์ แค่ "รู้ทัน" ยังไม่พอ
    ต้อง "รู้นำ" ด้วย!


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"