"เมษาฯ"ทะมึน-เข้าเขต"เดดล็อก" ผูกปมวิกฤติการเมืองรอบด้าน


เพิ่มเพื่อน    

           ความพยายามของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการเรียกความเชื่อมั่น ศรัทธา ต่อการทำหน้าที่องค์กรอิสระในการดูแลการเลือกตั้งในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนจะช้าเกินไป ไม่ทันเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีพัฒนาการไปอย่างแหลมคม

                การเลือกตั้งใหม่ 6 หน่วย 5 จังหวัด เลยไปถึงแนวโน้มการแจกใบส้ม การออกมาแจกแจงอธิบายเรื่องการคำนวณสูตร ส.ส.เขต-ปาร์ตี้ลิสต์มากขึ้น โดยผ่านการเลือกตั้งมากว่า 10 วัน จะสามารถฟื้น “วิกฤติศรัทธา” ที่เกิดขึ้นกับ กกต.ได้แค่ไหน จึงเป็นเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ต่อจากนี้

                หากในวันที่ 9 พ.ค. กกต.สามารถประกาศรับรองผลการเลือกตั้งได้ ก็จะเข้าสู่กระบวนการการจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น “จุดตั้งต้น” จึงอยู่ที่การรับรองผลการเลือกตั้ง ซึ่งต้องเป็นที่ยอมรับ และตอบข้อสงสัยที่เกิดขึ้นได้ด้วยข้อเท็จจริง แต่ใช่ว่าผ่านด่านแรกไปแล้ว “ปมการเมือง” จะคลี่คลายไปได้ และนำไปสู่รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศอย่างมีเสถียรภาพ

                ด่านที่ 2 ซึ่งพรรคการเมืองต่างก็ “ดีดลูกคิด” คิดคำนวณจำนวน ส.ส.ไปในช่วงที่ กกต.กำลังเร่งเคลียร์ข้อสงสัยในการทำงานหลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น แต่ดูเหมือนว่า ผลลัพธ์ จะออกมาแบบไหน “ตัวแปร” ทางการเมืองต่างๆ ที่นำไปสู่การจับขั้วทางการเมืองยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก

                แม้กระทั่งในพรรคการเมืองใหญ่เองก็ยังมี “ขั้ว” ภายใน เนื่องจากผลการเลือกตั้งที่มาจากปัญหาการบริหารจัดการในพรรค ทำให้เกิดความแตกแยกภายใน ไร้ความเป็นเอกภาพ ทำให้เกิดปัญหาเสียงแตกในการจับขั้วเป็นรัฐบาล

                โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ที่มีแนวคิดแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่อีกฝ่ายมองเรื่องการต่อสู้ทางเมือง ที่พุ่งเป้าหมายไปที่การจับมือกับ “อำนาจ” เพื่อสกัดกั้น “ระบอบทักษิณ” ไม่ให้คืนชีพมา

                ขณะที่ “พรรคเพื่อไทย” แม้จะมีคะแนนมาเป็นอันดับ 1 แต่ก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เมื่อนโยบาย “แตกแบ่งพัน” ของ “นายใหญ่” ส่งผลให้เกิด “ดาวดับ” ในหลายพื้นที่ โดยมี “เด็กใหม่” จากพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมาหยิบชิ้นปลามัน คว้าเก้าอี้ ส.ส.ไปครอง ประกอบกับ “นายใหญ่” ถูกพายุลูกใหญ่จากการถูกถอดชื่อออกจากทำเนียบฯ ศิษย์เก่าดีเด่นโรงเรียนเตรียมทหาร และมีพระบรมราชโองการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์

                เสี่ยงให้ “ไพร่พล-ลูกหาบ” เกิดอาการขวัญผวา เตรียมเลือกเส้นทางเดินใหม่ ในฐานะงูเห่า หรือเลือกเดินเส้นทางเก่า ในฐานะข้าเก่าเต่าเลี้ยงของ “นาย”

                ขณะที่พรรค “ตระกูลเพื่อ” ที่เหมือนจะผนึกแน่นกับฝ่ายที่ประกาศตัวว่าเป็น “ประชาธิปไตย” กลับเกิดอาการปั่นป่วนไปทั่ว “ฐานที่มั่น” อิมพีเรียล ลาดพร้าว

               

                จาก “วิกฤติศรัทธา” กกต. ปัญหาบริหารจัดการพรรคการเมือง นำไปสู่ ปัญหาของพรรคที่หนุน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีถูกกระแสโจมตีในคะแนนเสียงที่ได้มามีข้อกังขา โดยเปิดประเด็นโกงเลือกตั้ง เพื่อ “ตีกัน” ไม่ให้กองทัพขยับช่วยพรรคพลังประชารัฐได้ถนัดนัก

                เป็นผลต่อประเด็น “ความชอบธรรม” ในการได้มาซึ่งคะแนนเลือกตั้ง ที่แม้จะเป็นคะแนนที่มากพอ แต่ก็เป็น “จุดอ่อน” ในการเดินเกมจับขั้วทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

                ยิ่งตอกย้ำด้วยการขับเคลื่อนของ “พรรคอนาคตใหม่” ที่ประกาศแบ่งขั้วประชาธิปไตย-เผด็จการอย่างชัดเจน  เร่งเร้าปี่กลองรบด้วยวาทกรรมหยุดอำนาจเผด็จการ ปิดสวิตช์ 250 ส.ว. ปลุกระดมให้ล้มการสืบทอดอำนาจของ คสช. จนบางคำไปทิ่มใจดำของผู้นำทางทหาร

                จนกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ต้องออกมาแถลงที่กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ยืนยันเรื่องการวางตัวของกองทัพ ตามมาด้วยการส่งสัญญาณแรงด้วยคำว่า “ซ้ายจัด ดัดจริต” คิดเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

                ตามมาด้วย “ลูกติดพัน” ที่เจอการออกหมายเรียกเพื่อมารับข้อกล่าวหา​ตามมาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย มาตรา 189 ช่วยเหลือ หรือให้ที่พำนักผู้ต้องหา และมาตรา 215 มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง กรณีกลุ่มนักศึกษาขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ซึ่งมีนายรังสิมันต์ โรม เป็นหนึ่งในแกนนำ ชุมนุมปิดล้อมที่หน้า สน.ปทุมวัน เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2558

                สำทับด้วยภาพ และเสียง ที่ทำให้ “ธนาธร” ตกเป็นผู้ถูกกระทำ นำไปสู่คะแนนสงสาร ปลุกระดมฐานมวลชนเพิ่มขึ้นจากฐานเดิมที่เลือกพรรคอนาคตใหม่ ก็ยิ่งทำให้กระแส “เซฟธนาธร” ขยายจากเหล่าบรรดา “แฟนคลับ” ขับเคลื่อนสู่สเกลการเมืองที่ใหญ่ขึ้นไป กลายเป็นฐานมวลชนอีกส่วนที่พร้อมจะลงมาอยู่ท้องถนน หากเข็มนาฬิกาหมุนวนไปสู่วัฏจักรเดิมๆ

                นอกจากนั้น ภาพลักษณ์ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ จะสามารถทนกระแส คำวิพากย์วิจารณ์ที่หนักหน่วงมากขึ้น ในเรื่องความชอบธรรมต่อการขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหรือไม่

                ในเมื่อคำว่า “เกียรติยศ” และ “ความสง่างาม” เป็นสิ่งสำคัญที่ชายชาติทหารตระหนักดีเมื่อต้องไปดำรงตำแหน่งในการทำงานเพื่อบ้านเมือง

                ในอดีตผู้นำทางทหารมักตกม้าตายเพราะการกลืนน้ำลายตัวเองเพื่อชาติ และสถานการณ์ก็จบลงไม่สวย กลายเป็นสงครามกลางเมือง มีการเผชิญหน้าระหว่างทหารและประชาชน แต่หากยุคนี้ความรุนแรงเสียหายไม่ได้มีแค่นั้น แต่จะลุกลามบานปลายกลายเป็นการปะทะของคนสองขั้วความคิด ที่ถูกปลุกใน “โลกเสมือจริง” ที่เกรงว่าจะแตกหัก สูญเสียมากกว่าในอดีต โดยมีโมเดลจากหลายประเทศเป็นตัวอย่างให้เห็น และเป็นเทรนด์ทางการเมืองที่หลายชาติกำลังประสบอยู่

                เมื่อทุกการขับเคลื่อนของกลุ่มการเมืองกำลังเดินเข้าสู่คำว่า “ยาก” ในการคลายเงื่อนปม ที่ได้ถูกผูกไว้อย่างสลับซับซ้อนผ่านกระบวนการขั้นตอนกฎหมาย จึงส่งผลให้บรรยากาศทางการเมืองช่วงนี้ “หายใจไม่ทั่วท้อง”

                จากพื้นที่สู้รบใน “โซเชียลมีเดีย" ขยายวงไปสู่สื่อหลัก ในวงกว้าง จากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หาข้อมูลมาถกเถียงกันเพื่อนำไปสู่ทางออกที่ดี แต่กลับกลายเป็นเรื่องการด่าท่อ คั่งแค้น อาฆาต ยิ่งสร้างความ “ถ่าง” ระหว่างคนในสังคมที่มีความเห็นต่างกันออกไป

                แม้จะมองในแง่ดี ที่ “ความแตกต่างทางความคิด” จำกัดวงอยู่ใน “โลกเสมือนจริง” ไม่ได้มาอยู่บนท้องถนน ก็ไม่มีหลักประกันใดๆ ว่าความขัดแย้งเหล่านั้นจะทะลักเข้าสู่ท้องถนนอีกครั้ง จาก “ผู้เล่นเกมอำนาจ” จะดึงมวลชนออกมาใช้เมื่อไม่ได้เป็นไปอย่างที่ตนเองคาดการณ์ และก็น่ากังวลว่า “ผลลัพธ์” ที่ออกมาจะมีพลังทำลายล้างขนาดไหน

                ในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งเป็นห้วงที่เข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ ต่อด้วยห้วงสำคัญที่เข้าสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษก สถานการณ์การเมืองอาจจะเบาบางลง เพราะการ “ลดโทน” จากปัจจัยต่างๆ จะทำให้สถานการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

                แต่สงครามในโซเชียลมีเดียยังขับเคลื่อนไปด้วยเกม แฉ ต่อรอง ตีกัน งัดทุกกลยุทธ์ขึ้นมาดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม ความคาดหวังครุกรุ่นอยู่ในใจคน เพื่อเชียร์ให้ฝ่ายตนไปสู่ชัยชนะ

                ในขณะที่ “ปัจจัย-ตัวแปร” ยังขมวดปมอย่างแน่นหนา ผนวกเข้ากับวิกฤติหลายด้าน ทั้งสมการตัวเลข ความไม่ลงตัวของพรรคการเมือง ความไม่ชอบธรรม ฯลฯ สถานการณ์ทางการเมืองจึงเดินเข้าสู่ “เดดล็อก” ของประเทศอีกครั้ง!!!.

                                                           ทีมข่าวการเมือง

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"