โอซาก้า ซากุระ ซิงเกิลมอลต์


เพิ่มเพื่อน    

ความน่ารักระหว่างทางเดินจากย่านสถานีชิน-อิมามิยะไปยังย่านนัมบะ เมืองโอซาก้า

ซากุระในภูมิภาคคันไซของญี่ปุ่นเริ่มบานเมื่อปลายเดือนมีนาคม และบานเต็มต้น (Full Bloom) ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน กินระยะเวลาตั้งแต่เริ่มบานจนถึงร่วงหล่นไปพร้อมกันประมาณ 15 วัน ผมไปถึงตอนใกล้จะสิ้นเดือนที่แล้ว ซากุระต้อนรับด้วยดอกบานครึ่งต้นและดอกตูมอีกครึ่งต้น

อากาศในเวลานี้ยังคงหนาวอยู่มาก กลางวันเฉลี่ยประมาณ 10 องศา ส่วนกลางคืนลงไปที่เลขตัวเดียว และยิ่งดึกก็ยิ่งหนาว บางวัน 0องศาก็มี ทั้งที่ก่อนหน้านี้อากาศได้อุ่นขึ้นแล้ว แต่กลับดิ่งลงมาใหม่เหมือนแกล้งคนที่ไปสัมผัสซากุระบานเป็นครั้งแรกในชีวิต

ผมไม่ค่อยชอบอากาศหนาวสักเท่าไหร่ นอกจากความหนาวในตัวมันเองแล้วก็ยังมีเหตุผลความขี้เกียจแบกเสื้อหนาวและแจ็กเก็ตติดตัว ทำให้กินพื้นที่กระเป๋าและรู้สึกไม่คล่องตัวยามต้องเก็บเสื้อผ้าเพื่อเดินทางเปลี่ยนเมือง

แต่เข้าใจได้ ความงามของซากุระย่อมมีราคาของมันอยู่

อีกอาคารที่อดใจไม่ถ่ายรูปได้ยาก

ในการเดินทางครั้งนี้ผมยอมฝ่าฝืนระเบียบของตัวเองด้วยการมีเพื่อนร่วมทางไปด้วยตั้งแต่ต้นคนหนึ่ง ซึ่งเป้าหมายหลักของเราคือการไปเยี่ยมครอบครัวเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่เมืองนารา คู่รักเพิ่งมีลูกคนแรกได้ไม่นาน

แต่เราขอยกยอดเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นไปไว้ในช่วงกลางๆ ทริป

ย่านชินเซไกในคืนที่เราไปถึงเหลือร้านเปิดอยู่น้อยเต็มทีเพราะเวลาประมาณเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว จำเป็นต้องเดินเข้าร้านอาหารขนาดใหญ่ที่มีหลากหลายเมนูจนไม่รู้ว่าที่นี่เขาถนัดอะไร เห็นมีพ่อครัวหลายคนและเคาน์เตอร์ครัวยาวกินพื้นที่ด้านหนึ่งกับอีกครึ่งของผนังร้าน คงแบ่งเมนูกันทำเพื่อให้ทันกับลูกค้าที่ทยอยเข้าออกอยู่ไม่ขาดสาย  

ด้วยสัมผัสอากาศหนาวแบบปัจจุบันทันด่วน ผมไม่ลังเลที่จะประเดิมด้วยราเม็งร้อนๆ ชามยักษ์ ขอสั่งปลาย่างในเมนูที่ดูน่ากินแต่เด็กเดินโต๊ะวัยรุ่นแจ้งว่าหมด เลยเปลี่ยนเป็นปลาไข่ย่าง และเบียร์สดซันตอรี เพื่อนร่วมทางของผมสั่งอุด้งและล้างคอด้วยเบียร์สดเช่นเดียวกัน เขาชมว่าอุด้งอร่อยดี

ผู้คนเบียดเสียดจอแจที่ย่านนัมบะ

ราเม็งของผมแม้ว่าซุปจะใช้ได้แต่เส้นที่ก้นชามจับตัวพันกันเป็นก้อน อาจเป็นเพราะผมไม่ได้คนให้ทั่วตั้งแต่แรก ทำให้รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย แต่กินจดหมด ซุปก็แทบไม่เหลือเพราะมื้อล่าสุดกินมาตั้งแต่ 10 โมงเช้าเมืองไทย ห่างกับมื้อนี้ราว 12 ชั่วโมง

ขาเดินกลับที่พักผมแวะแฟมิลี่มาร์ท ซื้อ Chita ซิงเกิลเกรนวิสกี้ขึ้นชื่อของญี่ปุ่น ขวดขนาด 180 มิลลิลิตร ตกราคา 300 บาทเท่านั้น ราคาขายในบ้านเราสูงกว่าร้านสะดวกซื้อที่นี่ราว 2 เท่าเมื่อเทียบสัดส่วนราคากับขวดที่ขนาดใหญ่ขึ้น  

นอกจากวิสกี้หลากหลายญี่ห้อทั้งของญี่ปุ่นและจากประเทศตะวันตกแล้ว ผมรู้สึกอิจฉาพลเมืองของเขาทุกครั้งที่ได้เห็นไวน์จากฝรั่งเศส สเปน ชิลี และอีกหลายชาตินอนวางให้เลือกอยู่ในร้าน ราคาเริ่มต้นแค่ประมาณ 200 บาท หากเป็นบ้านเราก็จะได้ดื่มแค่ไวน์ขากถุย (สำนวนเซียนไวน์ท่านหนึ่งผู้อาศัยในฝรั่งเศสกว่า 30 ปี) ในราคาที่แพงกว่าราว 3 เท่า เพราะคนบาปอย่างเราต้องสนับสนุนรัฐในรูปแบบของภาษีสูงลิ่ว จนไปๆ มาๆ มีปัญญากินได้แค่เบียร์ที่รสชาติเหมือนน้ำเติมแก๊สแล้วแต่งกลิ่นให้คล้ายเบียร์ ส่วนชาวนาชาวไร่และผู้ใช้แรงงานก็ไปได้ไม่ไกลกว่าสุราขาวกากน้ำตาลญี่ห้อยมบาลกวักมือเรียก

พลันคิดว่า ถ้ามีของดีราคาถูกเข้ามาขาย ใครล่ะจะอุดหนุนพวกเจ้าสัวผูกขาด

ใครๆ ก็มีรูปคู่กับนักวิ่งในตำนาน

จิบซิงเกิลเกรนวิสกี้ในห้องอาหารของโรงแรมแก้หนาวอยู่จนถึงตี 2 ก็ขึ้นนอน ผมกับเพื่อนร่วมทางนอนห้องติดกัน ที่นอนเป็นเสื่อตาตามิและฟูกฟูตอง เครื่องปรับอากาศก็มี ตู้เย็นและทีวีอันไม่จำเป็นก็วางอยู่อย่างเป็นระเบียบตรงด้านปลายเท้า ที่พักชื่อ Hotel Raizan แห่งนี้ถือว่าคุ้มค่าเงินแปดร้อยบาทมาก ถ้าพยายามอีกหน่อยเขาคงเนรมิตห้องน้ำมาไว้ในห้องขนาด 6 ตารางเมตรนี้ด้วย แต่นี่จัดรวมไว้ให้ในแต่ละชั้น ส่วนห้องอาบน้ำอยู่ชั้นล่าง ทั้งแบบอาบรวม ห้องซาวน่า และห้องอาบเดี่ยว  

ห้องอาบน้ำรวมนี้ส่วนมากจะปิดเที่ยงคืน บางแห่ง 5 ทุ่ม ช่วงที่เพิ่งเคยมาญี่ปุ่นใหม่ๆ ผมจะรอให้ถึงใกล้ๆ เวลาปิดแล้วจึงเข้าไปใช้บริการเพราะคาดว่าคนจะน้อย แต่ที่ไหนได้มีคนคิดเหมือนผมอีกเพียบ โดยเฉพาะแขกที่เป็นชาวต่างชาติ ตอนหลังก็ค่อยๆ ชิน และแก้ปัญหาด้วยการมองสูงๆ ไม่มองต่ำๆ  

วันต่อมาผมตื่น 10 โมงตามเสียงนาฬิกาปลุก ก่อนเวลาเช็กเอาต์ 1 ชั่วโมง แต่ต่อเวลาไปอีกครึ่งชั่วโมงเพราะยังง่วงอยู่มาก ลงไปอาบน้ำในห้องอาบเดียวที่ชั้น 1 แล้วรีบขึ้นไปแต่งตัว เก็บกระเป๋า เช็กเอาต์ตรงเวลาพอดีเป๊ะ ซื้อแยมโรลที่โรงแรมวางขายชิ้นละ 100 เยน รินกาแฟฟรีจากกาต้ม ปกติโรงแรมให้บริการชาและกาแฟฟรีถึง 11 โมง แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครเก็บ

กาแฟรสชาติดีอย่างไม่น่าเชื่อ เสียดายที่รินมาแค่ครึ่งแก้ว ตอนพนักงานหนุ่มเดินผ่านหน้าเอาไปเททิ้ง ผมเรียก “สุมิมาเซน สุมิมาเซน - ขอโทษนะครับ ขอโทษนะครับ” แต่เขาไม่ได้ยิน หรือสำเนียงพูดของผมคงไม่ได้เรื่อง เขาเทพรวดเดียวลงอ่างล้างจาน ผมได้แต่มองตาละห้อย

หันหลังให้นักวิ่งชุดขาวก็จะเจอกับภาพนี้ซึ่งอยู่อีกด้านของสะพานเอบิซุบาชิ

เพื่อนร่วมทางของผมเช็กอีเมลเสร็จพอดี ขออนุญาตทางโรงแรมฝากกระเป๋าเพื่อจะมารับตอนเย็น แล้วเราก็เดินเท้ากิโลกว่าๆ ไปย่านนัมบะ แวะซื้อทาโกยากิจากร้านแผงลอยที่คนเข้าคิวยาวเพราะเชื่อว่าต้องอร่อย แถมยังเขียนว่า Osaka No.1 Takoyaki ราคาไม่แพง 6 ลูก แค่ 280เยน แป้งนุ่ม ไส้ปลาหมึกยักษ์ชิ้นใหญ่ ซอสไม่หวานมาก

ย่านนี้ผู้คนเบียดเสียดจอแจ แต่เราจะได้ยินเสียงคนไทยอยู่เป็นระยะๆ นอกจากมากิน มาช็อปแล้ว ก็ต้องถ่ายรูปนักวิ่งกูลิโกะเข้าเส้นชัยบนกำแพงตึกริมแม่น้ำโดตมโบริ ข้างๆ สะพานเอบิซุบาชิ ผมเคยมาเยือนครั้งหนึ่งแต่ไม่ได้ถ่ายรูปตัวเองกับนักวิ่งในตำนานเพราะมาคนเดียว คราวนี้หลังจากลังเลอยู่สักพักก็ขอให้เพื่อนร่วมทางถ่ายให้ เพื่อนร่วมทางตั้งใจจะไม่ถ่ายเหมือนจะบำเพ็ญตบะ อดในสิ่งที่คนทั่วไปต้องการ ผมถามว่า “ถ้าไม่ถ่ายแล้วจะกลับไปบอกลูกบอกเมียของคุณอย่างไร ?” สุดท้ายเขาก็ยอม แต่ไม่ยอมยกมือยกขาตามตัวอย่าง

เพื่อนร่วมทางของผมอยากได้รองเท้า ขามาเขาใส่รองเท้าเก่าๆ มาคู่หนึ่ง ผมกะจะพาเขาเดินไปยังถนนช็อปปิ้งชินไซบาชิที่อยู่คนละฝั่งกับรูปนักวิ่งกูลิโกะ เห็นคนยั้วเยี้ย ไม่มีทางจะฝ่าไปได้อย่างง่ายๆ จึงชวนเดินกลับ เจอร้าน Tiger Onitsuka ก็เข้าไปชม รองเท้ายี่ห้อนี้คนไทยนิยมใส่เที่ยวกันมาก เพื่อนญี่ปุ่นของผมคนหนึ่งบอกว่าพวกเขาไม่ค่อยฮิต แต่เด็กนักเรียนญี่ปุ่นชอบใส่เล่นพละ

ย่านช็อปปิ้งชินไซบาชิ หากพาเด็กเล็กมาต้องล่ามเชือกผูกเอาไว้ เพราะถ้าหายคงหาไม่เจอ

ผมเคยดูรายการของช่อง NHK World เสนอเรื่องราวก่อนที่ Phil Knight จะก่อตั้งไนกี้ (ร่วมกับ Bill Bowerman) จนโด่งดังร่ำรวย เขาเดินทางมาญี่ปุ่นหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย ขอเป็นตัวแทนจำหน่ายรองเท้าญี่ปุ่นในสหรัฐอเมริกา ต้องคิดชื่อบริษัทขึ้นมาสดๆ (Blue Ribbon) ขณะถูกสัมภาษณ์เพื่อปั้นความน่าเชื่อถือ ก่อนจะได้ไปเยี่ยมชมโรงงานของ Onitsuka และได้นำ Tiger เข้าไปขายในสหรัฐฯ เมื่อบริษัทใกล้จะล้มด้วยภาระหนี้สินในช่วงแรกๆ ก็ได้รับการช่วยเหลือจากคนและบริษัทญี่ปุ่นในสหรัฐฯ จนเรียกได้ว่าถ้าไม่มีญี่ปุ่น ไนกี้ก็อาจไม่เกิดและยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้

พนักงานสาวหมวยได้ยินเราพูดภาษาไทยก็เข้ามาพูดภาษาไทยด้วย เธอบอกว่าเพิ่งเรียนจบที่โอซาก้า และได้งานทำในร้านแห่งนี้ทันที ผมถามเธอว่ามีพนักงานชาวไทยในร้านกี่คน คำตอบคือ 4 คน เวลานี้บ่ายนิดๆ เข้ากะมา 2 คน

เพื่อนร่วมทางของผมเลือกได้คู่หนึ่ง จ่ายเงิน แล้วก็สวมทันที ส่วนคู่ที่มาจากบ้านใส่กล่องไปทิ้งถังขยะ  

หลังมื้อเที่ยงในร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งร้านส่วนมากจะมีเซ็ตมื้อเที่ยงราคาไม่แพงไว้ยั่วลูกค้า เราจ่ายคนละหก-เจ็ดร้อยเยนก็อิ่มแปล้ จากนั้นเดินไปขึ้นรถไฟ ลงที่สถานี Sakuranomiya เพื่อดูซากุระที่สวนสาธารณะ “เคมะ ซากุระโนมิยะ” (Kema Sakuranomiya Park)  

ออกจากประตูทิศตะวันออก ถามทางน้องผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนเล่นโทรศัพท์อยู่ พอเขาพูดและชี้ไม้ชี้มือก็รู้ว่าเป็นสาวน้อย เราเดินตามที่เธอบอกก็เลยรู้ว่าถ้าออกประตูทิศตะวันตกก็จะเจอดงซากุระอยู่เกือบจะต่อหน้าต่อตา

ซุ้มซากุระฝั่งตรงข้ามสวนสาธารณะ Kema Sakuranomiya

สวนสาธารณะซากุระโนมิยะตั้งอยู่ริมแม่น้ำโอคาวะ ห่างจากปราสาทโอซาก้าที่อยู่ทางทิศใต้ลงไปประมาณ 3 กิโล มีซากุระปลูกไว้เกือบ 5พันต้นริมแม่น้ำเป็นแถวยาวกิโลกว่า นอกจากฝั่งสวนสาธารณะแล้วหากเดินข้ามสะพานเก็นปาชิไปก็จะพบกับแถวของต้นซากุระยาวขนานแม่น้ำไปเหมือนกับฝั่งนี้ ถ้าได้ขึ้นเฮลิค็อปเตอร์ดูก็จะเห็นเส้นสีขาวแกมชมพูขีดเกือบเป็นเส้นตรง 2 เส้นเป็นขอบด้านซ้าย-ขวาของแม่น้ำโอคาวะ

ผมเคยอ่านในเว็บไซต์ท่องเที่ยวญี่ปุ่นก่อนหน้านี้ ระบุว่านี่คือสถานที่ชมซากุระในโอซาก้าติดดาว 3 ดวง หรือระดับโลก เหนือกว่าซากุระบานที่ปราสาทโอซาก้าด้วยซ้ำ โดยได้ดาวไป 2 ดวง ซึ่งอยู่ในระดับประเทศ ส่วน 1 ดาวคือระดับยอดเยี่ยม น่าทึ่ง มีอยู่หลายแห่ง  

เราเดินข้ามสะพานเก็นปาชิไปอีกฝั่ง ลงสู่ทางเดินริมแม่น้ำ ซากุระขึ้นอยู่ริมทางเดินทั้ง 2 ฝั่ง แม้ยังบานไม่สะพรั่งแต่ก็ดูเป็นซุ้มโค้งน่าประทับใจ หากรอให้ถึงวันที่ 6 เมษายน ซึ่งเป็นวันบานเต็มที่คงงามเพริดพรายอลังการจนต้องใช้เวลาค่อนวันอยู่แถวนี้ ชาวญี่ปุ่นจะออกมาปิกนิกกันเต็มพื้นที่ โดยเฉพาะคนที่นิยมดื่มก็จะมาพร้อมกับสาเก เบียร์ และสุดแท้แต่จะสรรหามาตามความชอบ   

ซิงเกิลมอลต์บาร์ใกล้ๆ สวนสาธาณะ เหมือนเปิดรอคนชมซากุระที่ต้องการหนีหนาว

มองดูนาฬิกา เหมือนจะได้เวลาไปรับกระเป๋าที่โรงแรมเพื่อเดินทางต่อไปเมืองโกเบ ตรงตีนสะพานเก็นปาชิฝั่งตะวันออก บริเวณสี่แยกไฟแดง มีบาร์ซิงเกิลมอลต์เล็กๆ ชื่อ Bar Leigh Islay ตั้งอยู่ คงเน้นซิงเกิลมอลต์วิสกี้ที่มาจากเกาะไอเลย์ (Isle of Islay) ของสก็อตแลนด์ ขึ้นชื่อเรื่องถ่านหินเลนที่ใช้ในการอบมอลต์ ทำให้วิสกี้ออกมามีกลิ่นควันโดดเด่น อบอวลอยู่ในปากและจมูกแม้วิสกี้ลงคอไปล่วงนาทีแล้ว บางคนเรียกว่าเป็น “ลูกจาก” ที่อ้อยอิ่งทิ้งเวลาเนิ่นนาน

โรงกลั่นซิงเกิลมอลต์วิสกี้จาก “ไอ ออฟ ไอเลย์” ในปัจจุบันมีเหลืออยู่ 8 แห่ง ส่วนมากตั้งอยู่ริมทะเล ยี่ห้อที่คุ้นเคยก็ได้แก่ Ardbeg, Laphroaig, Bowmore และ Lagavulin บางโรงกลั่นเริ่มดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 ราคาของวิสกี้เหล่านี้จะแพงกว่าจำพวกเบลนด์วิสกี้ (ผสมระหว่างวิสกี้ต่างชนิดกัน) และยิ่งแพงมากหากบ่มนานขึ้น แต่ความนิยมเป็นรองเบลนด์วิสกี้เพราะเบลนด์วิสกี้ดื่มง่ายและการตลาดรุกหนักกว่า

ที่บรรยายมาซะเปรี้ยวปากท่านผู้อ่านคงนึกว่าผมได้เข้าไปนั่งลอยจนติดเพดานร้านไปแล้ว โชคไม่ดีของปาก แต่เป็นบุญของกระเป๋าตังค์

เวลานี้ร้านยังไม่เปิด.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"