ใจเย็ลล์ล์ล์ๆ...หายใจยาวว์ว์ว์ๆ


เพิ่มเพื่อน    

      บรรยากาศบ้านเมืองช่วงนี้...ไม่ว่าฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหน เด็กหรือผู้ใหญ่ คงต้องหาทางนั่งนิ่งๆ ลูบหนวดเอาไว้ก่อนนั่นแหละ น่าจะเข้าท่ากว่า ส่วนถ้าหากไม่มีหนวด จะไปลูบขนอย่างอื่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการ ตั้งสติ อย่างอาจารย์ สมเกียรติ โอสถสภา ท่านก็เคยเตือนเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าคงต้องระวังเอาไว้มั่งเหมือนกัน เพราะแม้ไม่ถึงกับ ของขึ้น แต่อะไรอื่นๆ มันอาจขึ้นๆ ตามมา จนอาจต้องเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า โดยใช่เหตุ...

                                                              -----------------------------------------------

      คือถ้าว่ากันโดยรวมๆ แล้ว...ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ยังไม่ถึงกับเคร่งขึง ตึงเครียด ชนิดจะเป็นจะตายกันให้จงได้ เอาเลยถึงขั้นนั้น ยังมีโอกาส มีจังหวะ มีช่วงเวลา ที่พอจะนำมาช่วยในการคลี่ๆ คลายๆ พลิกเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องไม่ถึงกับร้าย ผ่อนเรื่องหนักให้กลายเป็นเรื่องชิลๆ หรือร่วมกันพลิกขวา พลิกซ้าย ให้มันออกมาทางกลางๆ ไม่ต้อง สุดโต่ง ไปในข้างใด-ข้างหนึ่ง อันนี้...ยังพอเหลือหนทาง เหลือโอกาสแห่งความเป็นไปได้ ไปด้วยกันทั้งสิ้น แต่ก็นั่นแหละ...มันคงต้องเริ่มจากการนั่งนิ่งๆ ลูบหน่ง ลูบหนวด หรือต้องเริ่มจากการหันมา ตั้งสติ ของทุกๆ ฝ่าย เป็นอันดับแรกนั่นแล...

                                                              ------------------------------------------------

      สำหรับกรณีท่านผู้บัญชาการทหารบก บิ๊กแดง ลูกชายของ บิ๊กจ๊อด นั้น...ถ้าดูจากลักษณะอาการแล้ว ท่านอาจมี การข่าว อะไรบางอย่าง ถึงทำให้ต้องออกมาในลักษณะนั้น และอันที่จริงแล้ว...ก็ไม่ถึงกับต้องหยิบมากระทบกระเทียด เสียดสี อะไรกันมากมาย เพราะถ้าหากมองไปถึงผลแห่งการ ป้องปราม หรือป้องกันเอาไว้ก่อน การนำมาซึ่งความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องเกิดอาการสะดุดหัวทิ่ม หัวตำ ในแต่ละช่วง แต่ละจังหวะ ต้องถือเป็นสิ่งคุ้มค่า คุ้มราคา มิใช่น้อย แม้ว่าโดย การข่าว ที่ว่า มันอาจยังไม่ ตกผลึก ออกมาในรูปใด รูปหนึ่ง แบบชัดๆ จะจะ...

                                                              ----------------------------------------------------

      ส่วนบรรดาผู้ที่ไม่ใช่ซ้าย และไม่ได้ดัดจริตทั้งหลาย ก็คงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องไปถือสา หาความ ไปหยิบมาขยายผล เพื่อสร้างความเกลียด ความกลัว ความชิงชัง อันเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่ต้องถือว่า ไม่เข้าท่า ไปด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่ชอบนั่งจิ้มๆ ทิ่มๆ อยู่ในโลกโซเชียลมีเดีย ทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว...น่าจะออกไปทางพวก ซ้าย-ขวา-ซ้าย หรือออกไปทางมั่วๆ ไม่ได้รู้ลึก รู้จริง หนักไปทางชอบ ตรัสรู้ ไปตามพื้นฐาน รสนิยม  ของตัวเองนั่นแหละเป็นหลักใหญ่ และเมื่อรสนิยมดังกล่าว มันถูกนำมา ปรุงแต่ง กวนผสมเข้ากับความเกลียด ความกลัว ความชิงชังด้วยแล้ว มันเลยหนีไม่พ้นต้องนำไปสู่อาการ สุดโต่ง ในด้านใด ด้านหนึ่ง หาอะไรที่ออกไปทางกลางๆ ทางมัชฌิมาปฏิปทา แทบไม่เจอ...

                                                            ---------------------------------------------------------

      ทั้งๆ ที่ช่วงระหว่างนี้นี่แหละ...ที่มันคงต้องพยายามกลางๆ เอาไว้ก่อน เพื่อช่วยกันประคับประคอง ความเป็นประชาธิปไตย ที่เพิ่งเริ่มจะหวนคืนกลับมา แค่ไม่กี่วัน-ไม่กี่ชั่วโมง นับจากแต่ละฝ่าย แต่ละราย ได้มีโอกาส เข้าคูหากาบัตร หรือมีโอกาส เขย่าประชาธิปไตยภายในมือของท่านแล้ว แต่ยังไม่ทันที่ วิถีทางรัฐสภา จะได้เริ่มตั้งไข่ เริ่มเป็นตัว เป็นตน ขึ้นมาเลย ดันคิดจะแฉลบออกข้าง หันไปหา วิถีทางนอกสภา กันอีกซะแระ คิดจะเดินลงถนน ตั้งโต๊ะ ตั้งเก้าอี้ เรียกร้องให้ปลดคนโน้น ปลดคนนี้ แล้วยังงี้ประชาธิปไตย มันจะไม่กลายเป็นประชาธิป...ตาย ไปก่อนกำหนดได้อย่างไร???

                                                            ---------------------------------------------------------

      คืออย่างที่นักคิด นักปราชญ์ ท่านได้เคยเอ่ยว่าเป็นวาทะเอาไว้แล้วนั่นแหละว่า...ประชาธิปไตยนั้น ย่อมถือเป็นเรื่องของการ มองการณ์ไกล แต่ถ้าดันหันมามองแค่หัวแม่ตีนตัวเองซะเป็นหลักใหญ่ โอกาสที่มันจะนำไปสู่การเผาไหม้ส้นตีนตัวเอง พรรคและพวกของตัวกูเอง ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น การเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ หรือจอโทรศัพท์มือถือก็แล้วแต่ แล้วหันมามองให้ไกลไปกว่านั้น มองไปยังผู้ที่แตกต่างไปจากตัวกู-ของกู พวกกู พรรคกู หรือฝ่ายที่มีรสนิยมเดียวกันกับกู โดยพยายามที่จะไม่นำเอาบรรดาอารมณ์ความรู้สึกที่ ไม่เข้าท่า ทั้งหลาย ประเภทความเกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาทและชิงชัง เข้าไปผสมผสาน หรือเข้าไป ปรุงแต่ง  ให้มันลดน้อยลงไปที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โอกาสที่จะเกิดความเข้าถึง-เข้าใจ ต่อสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตย โดยเฉพาะประชาธิปไตยแบบไทยๆ หรือประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ก็น่าจะอุบัติขึ้นมาได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์...

                                                             ---------------------------------------------------------

      หรือประชาธิปไตยที่มันจะต้องหาทาง จัดสรรปันส่วนผสม กันให้ลงตัวให้จงได้ ให้เกิดการ อยู่ร่วมกันโดยสันติ โดยไม่ต้องไล่เตะ ไล่ถีบ ไล่กระทืบซึ่งกันและกัน ประชาธิปไตยที่ไม่ว่าใครก็ตามที่ถือเป็น ปวงชนชาวไทย ทั้งหลาย ต่างล้วนแล้วแต่เป็น พสกนิกร ไปด้วยกันทั้งสิ้น ประชาธิปไตยในแนวนี้นี่แหละ ที่ได้ถูกออกแบบ ดีไซน์ ให้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้น และยังไงๆ ย่อมน่าจะดีกว่า เข้าท่ากว่า ประชาธิปไตยประเภทที่ต้องจับใครต่อใครที่ไม่ใช่พรรคกู พวกกู ฝ่ายกู ไปตัดหัวคั่วแห้งด้วยเครื่อง กิโยตีน เพราะอย่างน้อย...ไม่ว่าจะเป็น อองตวน อะไรทั้งหลาย ยังเจอแค่ หมายเรียก เท่านั้นเอง ยังอยู่ได้สบายๆ กลับบ้านไปหาเมียฝรั่งเศส เจ๊าะๆ แจ๊ะๆ จี๋ๆ จ๋าๆ ไปตามเรื่องตามราว ด้วยอานิสงส์แห่ง ประชาธิปไตยแบบไทยๆ นั่นแล...

                                                              ------------------------------------------------------------

      ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Sanskrit proverb... Four things come not back: The spoken word; the sped arrow; time past; the neglected opportunity.- สี่สิ่งนี้ไปแล้วไม่กลับ...คำพูดที่หลุดจากปาก ลูกศรที่ยิงออกไปแล้ว เวลาที่ผ่านไป และโอกาสที่ล่วงเลย...

                                                              -------------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"