นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ในปี 61 หุ้นกลุ่มธนาคารยังเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด มีปัจจัยหลักมาจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย, การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและภาคเอกชน ทำให้ความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้น สะท้อนได้จากบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งที่วางแผนเปิดตัวโครงการในปีนี้จำนวนมาก ทำให้กลุ่มธนาคารมีรายได้จากค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นน คาดว่ากำไรกลุ่มธนาคาร 8 แห่งปีนี้จะฟื้นตัวขึ้นอยู่ที่ 11% เพิ่มขึ้นจากจากปีก่อนที่เติบโตได้เพียง 5.4%

        “บล.กสิกรไทย คาดว่ากลางปีนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้กลุ่มธนาคารต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้เช่นกัน เมื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อรัฐ สินเชื่อรายย่อยในอัตราเร่งขึ้นที่ 6% ประกอบกับระดับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพราะปรับลดลงต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปี 60 เหลือเพียง 3.64% จาก 3.73% ส่งผลให้การตั้งสำรองของกลุ่มธนาคารปีนี้ลดลงตามไปด้วย”นายประกิตกล่าว

        อย่างไรก็ตาม ช่วงเดือน มี.ค.คงต้องติดตามการพิจารณาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพราะจะเป็นตัวชี้วัดว่าตลาดหุ้นไทยจะไปต่อได้หรือไม่ แต่ยังเชื่อว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้ง และดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้เป็นอย่างดี โดยประเมินดัชนีหุ้นไทยทั้งปี 1,850 จุด แต่หากมีปัจจัยสนับสนุนก็มีโอกาสที่กลางปีนี้จะปรับดัชนีขึ้นอีกครั้ง

        นายประกิต กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงจากตลาดโลกที่ผันผวนของความกังวลการขึ้นดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติไม่ได้ถือครองหุ้นไทยมากเหมือนที่ผ่านมา โดยตั้งแต่ต้นเดือนก.พ. 61 นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยมา 7 วันติดต่อกันสะสม 28,700 ล้านบาท ถือว่าเป็นปริมาณการขายรายเดือนที่สูงที่สุดในรอบ 14 เดือน และเป็นการขาย 5 เดือนติดต่อกันรวมเป็นยอดขาย 69,700 ล้านบาท.