ทำทานกลายเป็นทำกรรม


เพิ่มเพื่อน    

 

      ถ้าใครเคยไปจาริกแสวงบุญในฐานะพุทธศาสนิกชนที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย หรือไปจนครบ 4 สังเวชนียสถาน อันเป็นสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน และแสดงปฐมเทศนา นอกจากอิ่มบุญและรู้สึกปลื้มปีติแล้ว คงไม่พ้นอารมณ์ของคำว่า "ปลง" จากนั้นก็จะพึงพอใจในชีวิตของตัวเอง เพราะเส้นทางสี่สังเวชนียสถานเราจะพบเห็นแต่ภาพของชาวบ้านในวรรณะที่ยากจน และหาเช้ากินค่ำ หน้าตาดำ ใส่เสื้อผ้าขะมุกขะมอมจนดูขมุกขมัว

      แล้วคนไทยก็จะใจดีด้วยความสงสารและเวทนา หยิบเอาเงินในกระเป๋าแจกจ่ายให้กับเด็กๆ ที่มาแบมือขอสตางค์ จนบางทีก็แทบจะเกิดกลียุค เอาตัวไม่รอด เพราะเด็กๆ จะฮือเข้าไปแย่งชิงเพื่อให้ทันการณ์ก่อนที่จะอด

      ความเมตตาปราณีที่ไร้ขอบเขตของคนไทย ตลอดระยะทางสี่สังเวชนียสถาน กลายเป็นคำเตือนใส่เครื่องหมาย *** ของไกด์ทุกคน และหัวหน้ากรุ๊ป เพราะการทำทานกลายเป็นการสร้างกรรมโดยไม่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และอาจจะทำให้ตัวคนทำทานเองเดือดร้อนเสียด้วย 

      เคยมีพระธรรมทูตที่อินเดียเขียนบอกเหตุผลว่า เหตุใด..เราจึงไม่ควรให้ทานกับเด็กๆ ตามเส้นทางที่เราไปจาริกแสวงบุญ

      ท่านระบุว่า ...โดยเฉพาะเด็กๆ เพราะกลุ่มเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กนักเรียน พวกเขามีพ่อ แม่ มีผู้ปกครอง มีอาการครบ 32 อยู่ในวัยที่ต้องไปโรงเรียน มีบ้าน มีอาหาร ไม่ได้ยากจนอย่างที่เข้าใจกัน แต่มาขอเพราะว่าได้เงินดีกว่าไปโรงเรียน จึงทำให้เด็กนักเรียนเหล่านี้ขาดเรียน ไม่ไปโรงเรียน เด็กเหล่านี้ไม่ได้จนจริง เมื่อมีคณะผู้แสวงบุญเดินทางมาก็จะพากันมาดักรอ นั่งขอ ที่รถจอด จึงเป็นปัญหาสำหรับครู ผู้ปกครอง ที่ต้องตามเด็กให้ไปเข้าห้องเรียน และมีการตำหนิผู้แสวงบุญที่สร้างนิสัยให้เด็กไปเที่ยวขอแล้วไม่ไปโรงเรียน สุดท้ายเด็กก็ขาดโอกาสทางด้านการศึกษา กลายเป็นประชากรโง่ๆ คนหนึ่ง ชีวิตวันๆ ไม่ต้องลงทุนอะไร เที่ยวแต่จะรอขออย่างเดียว โตมาก็ต้องมาขอ ขอไปจนกว่าจะตาย

      ท่านลองมาคิดถึงความเป็นจริงเช่นนี้ซิว่า ใครเล่าจักมีศรัทธาและทรัพย์มากพอที่จะนำเงินทองไปเที่ยวแจกจ่ายให้คนเหล่านั้นอยู่รอดตลอดชีวิตได้ ด้วยการขออย่างเดียว “แค่ประเด็นนี้ประเด็นเดียว การให้ของท่านก็เท่ากับได้ทำบาปเสียแล้ว”

      ประการต่อมา......เด็กเหล่านี้ เมื่อจะขอก็ไม่มีระเบียบ รุมแย่งกัน คว้าได้คว้า เหยียบได้เหยียบ ผลักได้ผลัก รุมได้รุม จนผู้อยากจะให้ต้องทำใจ และสุดท้ายก็เลิกล้มการให้ไปเลยก็มี เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายจากเหล่าบรรดาลูกหลานชูชกทั้งหลาย จนมีประโยคที่อาตมาต้องพูดติดปากว่า “อินเดียเป็นประเทศเดียวในโลกที่ผู้ให้ต้องเตรียมหนีให้รอด...”   

      อีกอย่างที่ได้เห็นคือ การโปรยทานในท่ามกลางกลุ่มคนขอทานและพวกที่ทำตัวเป็นขอทาน พวกที่มีอวัยวะครบอาการสามสิบสอง ก็แย่งได้มาก พวกพิกลพิการก็แย่งกับเขาไม่ได้ เด็กเล็กเด็กน้อยถูกเหยียบถูกทับ แขน-ขาหักนักต่อนักก็มีให้เห็น และการโปรยเงินหรือสิ่งของลงไปข้างรถขณะรถกำลังจะวิ่ง เกิดรถทับเด็กเสียชีวิต บาดเจ็บ พิกลพิการขึ้นมาก็เป็นเรื่องเลยละ การเป็นคิดทำบุญ แต่กลับให้โทษ เห็นจะไม่ควรแน่ ...เพราะการให้ของพวกเราที่ขาดปัญญา การให้บนพื้นฐานแห่งการสร้างความทุกข์ มีแต่จะสร้างปัญหา ไม่น่าจะเป็นความถูกต้องหรือดีงามแต่ประการใดเลย...!!

      ทราบแล้วเปลี่ยนนะคะ!! เหมือนกับที่กรมประชาสงเคราะห์บ้านเรานั่นแหละ ที่พยายามบอกว่าอย่าให้ความสงสารทำร้ายเด็กโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะเด็กมากมายถูกซื้อมาบังคับให้นั่งขอทาน ..ใจแข็งเพื่อสร้างชีวิตที่ดีกว่า ไม่บาปหรอกค่ะ.

                                                              "ป้าเอง"


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"