ท่ามกลางการประกาศจัดตั้งรัฐบาลของอีกขั้วที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตย อันประกอบด้วย 6 พรรค ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อชาติ พรรคประชาชาติ และพรรคพลังปวงชนชาวไทย
อีกฝั่งที่ประกาศรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล นำโดยพรรคพลังประชารัฐ กลับไม่ได้รีบออกมาประกาศเปิดตัวแนวร่วมดังที่อีกขั้วชิงทำก่อน
และไม่ใช่แค่เพียงพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น แต่ยังมีพรรคที่ถูกมองว่าเป็น “แนวร่วม” หลายพรรค “นิ่ง” อยู่ในที่ตั้งเฉกเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา และพรรคขนาดเล็กอื่นๆ ที่ต่างยืนยันว่า จะรอการประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสียก่อน หาได้ไหวติงกับท่าที “ดุดัน” จากอีกฝั่งที่นำโดย “พรรคเพื่อไทย”
สำหรับพรรคพลังประชารัฐรู้ว่าการเดินเกมของพรรคเพื่อไทย และแนวร่วมครั้งนี้คือ การชิงจังหวะและความชอบธรรมเพื่อประกาศต่อสาธารณชน ในขณะที่ความเป็นจริงคะแนนที่พวกเขามีนั้น “ปริ่มน้ำ” และที่สำคัญเป็นตัวเลขที่ประเมินเองจากคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ
ทั้งที่ความเป็นจริงยังมี “ตัวแปร” เรื่องใบเหลือง-ใบแดง ซึ่งต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ตลอดจนคะแนนที่เป็นเศษที่จะต้องถูกตัดไปแบ่งให้พรรคขนาดเล็กอื่นๆ อีก
นอกจากนี้ ต่อให้พรรคเพื่อไทยและแนวร่วมได้ตัวเลขดังกล่าวจริง ก็ถือเป็นคะแนนที่ไม่เพียงพอต่อการเข้าสู่อำนาจและการมีเสถียรภาพ
คะแนนกว่า 250 เสียงที่พรรคเพื่อไทยและแนวร่วมประเมินว่าจะได้ อาจเกินกึ่งหนึ่งจากจำนวน ส.ส.ที่มีอยู่ทั้งหมดของสภาผู้แทนราษฎร และสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่จะไม่สามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ เพราะต้องใช้เสียงถึง 376 เสียง
ดังนั้น จำนวนเสียงที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อการเข้าสู่อำนาจ หากแต่ต้องการกดดันและหาความชอบธรรมจากสังคมภายนอก ซึ่งในหลักการทางการข่าวคือ ใครพูดก่อนคือ “พูดจริง”
ขณะเดียวกัน พรรคพลังประชารัฐเองยังมั่นใจว่า พวกเขามีข้อจำกัดที่น้อยกว่าพรรคเพื่อไทยและแนวร่วม ซึ่งขั้วตรงข้ามนั้นรู้ดีถึงจุดนี้
จนถึงขณะนี้แม้พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา และพรรคอื่นๆ ยังไม่ประกาศสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐต่อสาธารณชน แต่ทุกคนทราบดีว่า มันไม่ได้ยากอะไรในทางลับ
และกรณีเมื่อรวมกันแล้วไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็ขาดเพียงไม่ถึง 10 ที่นั่ง ซึ่งเป็นปริมาณที่พรรคพลังประชารัฐมั่นใจว่าสามารถหาได้
บรรดาแกนนำของพรรคเพื่อไทยและพรรคแนวร่วม อาจแน่วแน่ต่ออุดมการณ์ที่ประกาศ แต่ในขณะที่ว่าที่ ส.ส.ของพวกเขาอาจแตกต่างกันไป บางคนไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะได้เป็น ส.ส. เมื่อเจอข้อเสนอที่เย้ายวน และในชีวิตไม่คิดว่าจะหาได้ อาจยากจะปฏิเสธ
“มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่ประกาศไม่ร่วมกับพรรคพลังประชารัฐก่อนหน้านี้ ก็ไม่มีความแน่นอนว่า ถึงตรงนี้จะอยู่กับพรรคเพื่อไทยเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาล เพราะอย่าลืมว่า “มิ่งขวัญ” เองก็มีบาดแผลที่ฝังลึก เมื่อครั้งอาสาเป็นผู้นำฝ่ายค้านซักฟอก “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ตอนนั้น “มิ่งขวัญ” เสนอตัวเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทย ได้รับการทดสอบโดยการอภิปรายไม่ไว้วางใจ “อภิสิทธิ์” แต่แล้วเวทีนั้นกลับเละไม่เป็นท่า นอกจากทำผลงานไม่เข้าเป้า เขาเพิ่งมารู้ตัวทีหลังว่า เจ้าของพรรคตัวจริง “หลอกเชือด” ตัวเอง หลังรู้ว่า “มิ่งขวัญ” ต้องการเป็นใหญ่
เสร็จศึกนั้น นอกจาก “มิ่งขวัญ” ไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำพรรค และพรรคเพื่อไทยเปิดตัว “นายหญิง” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นตัวจริงที่ “นายใหญ่” เลือก ชีวิตทางการเมืองก็ดร็อปลง และค่อยๆ หายไป ไม่มีใครให้รางวัล มีแต่หมางเมิน และซ้ำเติม
เหตุนี้จึงทำให้พรรคพลังประชารัฐ ยังจะนิ่งแบบนี้ต่อไปอีกระยะ และปล่อยให้พรรคเพื่อไทยเคลื่อนไหวหรือ “ดิ้น” แบบนี้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายเมื่อฝ่ายนั้นตั้งไม่ได้ จะเป็นว่าที่ ส.ส.ของพวกเขาเองที่รู้ว่าดันทุรังต่อไม่ได้ และมันก็จะเกิดช่องทางให้การเจรจากับ “งูเห่า” ง่ายขึ้นไปอีก
270–280 เสียง คือตัวเลขที่พรรคพลังประชารัฐคิดว่าเพียงพอ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |