สถานการณ์หมอกควันในภาคเหนือยังอยู่ในโซนอันตราย พบสีแดง 11 พื้นที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ เชียงรายฝุ่นจิ๋วสูงสุด 266 ผู้ว่าฯ ระดมฉีดละอองน้ำ พร้อมเร่งดับไฟป่า ที่ลำปาง หน่วยผจญเพลิงเจอลมพัดย้อนไฟลวกทั้งหน้าและแขนบาดเจ็บ 3 คน ต้องหามส่ง รพ.
    กรมควบคุมมลพิษรายงานสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ ประจำวันที่ 25 มีนาคม 2562 ณ เวลา 09.00 น. พบว่า ค่าฝุ่นละอองส่วนใหญ่ลดลงจากเมื่อวาน เมื่อเปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียวกัน คุณภาพอากาศมีค่าอยู่ในเกณฑ์เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ-มีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นสีแดง 11 พื้นที่ (คุณภาพอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพ) และพื้นที่สีส้ม 5 พื้นที่ (คุณภาพอากาศเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ) ค่า PM 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าระหว่าง 66-266 มคก./ลบ.ม. (มาตรฐานไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม.) ค่า PM 10 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าระหว่าง 92-307 มคก./ลบ.ม. (มาตรฐานไม่เกิน 120 มคก./ลบ.ม.)
    กรมควบคุมมลพิษขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่งดการเผาในที่โล่ง เพื่อป้องกันการเพิ่มสูงขึ้นของฝุ่นละอองอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ประชาชนอยู่ในพื้นที่ที่ปริมาณฝุ่นละอองมีผลกระทบต่อสุขภาพ ขอให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายและการทำกิจกรรมกลางแจ้ง สวมใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก ประชาชนทั่วไปและกลุ่มเสี่ยงควรเฝ้าระวังสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอบ่อย หายใจลำบาก หายใจถี่ หายใจไม่ออก หายใจมีเสียงวี้ด ใจสั่น คลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ แน่นหน้าอก ให้รีบพบแพทย์ ผู้มีโรคประจำตัวควรเตรียมยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างน้อย 5 วัน ทั้งนี้ สามารถติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศได้ทางเว็บไซต์ http://air4thai.pcd.go.th และแอปพลิเคชัน air4thai
    จากการตรวจสอบรายจังหวัด เชียงราย ค่าฝุ่นสูงสุดที่ ต.เวียงคำพา อ.แม่สาย PM 2.5 อยู่ที่ 266 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร PM 10 อยู่ที่ 307 มคก./ลบ.ม. เชียงใหม่ ค่าฝุ่นสูงสุดอยู่ที่ ต.ช้างเผือก อ.เมือง PM 2.5 อยู่ที่ 158 มคก./ลบ.ม. PM 10 อยู่ที่ 198 มคก./ลบ.ม. ลำปาง ค่าฝุ่นสูงสุดที่ ต.พระบาท อ.เมือง PM 2.5 อยู่ที่ 119 มคก./ลบ.ม. PM 10 อยู่ที่ 174 มคก./ลบ.ม. น่าน ค่าฝ่นสูงสุดที่ ต.ห้วยโก๋น อ.เฉลิมพระเกียรติ PM 2.5 อยู่ที่ 170 มคก./ลบ.ม. PM 10 อยู่ที่ 201 มคก./ลบ.ม.
    มีรายงานจากจังหวัดเชียงใหม่ว่า ขณะนี้มีโรงเรียนอย่างน้อย 5 โรง ปิดเรียนภาคฤดูร้อนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาฝุ่นควันเป็นเวลา 2 วัน คือวันที่ 25-26 มี.ค. ส่วนที่ศูนย์บูรณาการร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ส่วนแยกที่ 1 ตั้งอยู่ที่คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อ.เมืองเชียงใหม่ นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผวจ.เชียงใหม่ พร้อมผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (เชียงใหม่) และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ นำคณะเดินทางตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า ที่เป็นการบูรณาการกำลังร่วมกันกับท้องถิ่น เข้าทำการดับไฟป่าที่เกิดขึ้นในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 24 มี.ค.จนถึงรุ่งเช้า หลังไฟปะทุขึ้นอีกครั้ง ทั้งนี้ นายศุภชัยได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์สำรวจจุดที่เกิดไฟป่าด้วย
    นายศุภชัยกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่เพื่อยับยั้งแก้ไขปัญหาการเผาป่าให้ได้ โดยที่ผ่านมามีมาตรการเข้มงวดในเรื่องการดำเนินการกับผู้ที่เผาป่า สามารถมาจับกุมดำเนินคดีได้แล้ว 23 ราย อย่างไรก็ตาม การดำเนินการเข้มงวดนั้นมุ่งเน้นจะไม่ให้มีการเผามากกว่าการจับกุม ขณะที่การแจกหน้ากากอนามัยนั้น ที่ผ่านมาทุกอำเภอและท้องถิ่นของจังหวัดเชียงใหม่มีการแจกหน้ากากอนามัยให้ประชาชนสวมใส่ป้องกันตัวเองในสถานการณ์ที่ปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองสูงเกินค่ามาตรฐาน จนอยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพแล้ว 4 แสนชิ้น และทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่มีการแจกแล้ว 1.7 แสนชิ้น รวมแจกแล้วทั้งสิ้น 5.7 แสนชิ้น และเวลานี้ทางท้องถิ่นกำลังจัดซื้อเพิ่มเติมอีก 4.7 แสนชิ้น เพื่อแจกจ่ายประชาชน และพร้อมจะสั่งซื้อเพิ่มเติมอีกหากไม่เพียงพอ 
    "ยืนยันว่าทางจังหวัดเชียงใหม่และทุกภาคส่วนจะดำเนินการมาตรการต่างๆ อย่างเข้มข้นต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์ปัญหาจะคลี่คลาย"
    ขณะที่นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผวจ.เชียงราย ลงพื้นที่ อ.แม่สาย สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมเจ้าหน้าที่ รถน้ำ เพื่อฉีดพ่นน้ำตั้งแต่หน้าด่านพรมแดน อ.แม่สาย ท่าขี้เหล็ก เมียนมา เพื่อเป็นการบรรเทากลุ่มหมอกควันที่ปกคลุมในพื้นที่ต่างๆ ของ จ.เชียงราย นอกจากนี้ มทบ.37 กกล.รส.จว.เชียงราย จัดรถบรรทุกน้ำของ มทบ.37 จำนวน 2 คัน ฉีดพ่นละอองน้ำ ล้างต้นไม้ ล้างถนน เพื่อลดค่าฝุ่นละอองในอากาศ สร้างความชุมชื่นในอากาศ ภายในค่ายเม็งรายมหาราช ถนนหน้ากองบัญชาการ มทบ.37 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 2 ศาลมณฑลทหารบกที่ 37 โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์ บริบูรณ์ธนวัฒน์ และอาคารบ้านพักนายทหาร ค่ายเม็งรายมหาราช อ.เมืองเชียงราย และทุกพื้นที่ต่างระดมฉีดพ่นน้ำสร้างความชุ่มชื่นอย่างต่อเนื่อง
    ลำปาง สถานการณ์หมอกควันไฟป่ากลับมาวิกฤติอีกครั้ง  โดยเกิดไฟไหม้ป่าดอยพระบาททุกวัน ซึ่งเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขลางค์บรรพตระดมกำลังเข้าดับ โดยมีเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าเขาใหญ่และทับลานเข้าร่วมปฏิบัติการ ล่าสุดคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้ระดมกำลังเข้าดับไฟบริเวณด้านหลังอ่างเก็บน้ำใกล้กับศูนย์ราชการที่ 1 หมู่ 7 ต.พิชัย อ.เมืองลำปาง พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขลางค์บรรพต เจ้าหน้าที่ใช้เวลาดับไฟนานกว่า 6 ชั่วโมง พบพื้นที่ป่าเสียหายมากกว่า 45 ไร่        
    มีรายงานว่า ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ ปรากฏลมได้เปลี่ยนทิศอย่างรวดเร็ว ทำให้เปลวไฟก้อนใหญ่ได้ย้อนกลับมาทางเจ้าหน้าที่ ได้รับบาดเจ็บ 3 คน เป็นชุดเหยี่ยวไฟป่าจาก จ.นครราชสีมา โดยได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้า 1 คน อีก 2 คนได้รับบาดเจ็บบริเวณแขนและมือหลังถูกไฟลวก ทั้ง 3 ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลค่ายสุรศักดิ์มนตรี และต่อมานายทรงพล สวาสดิ์ธรรม ผวจ.ลำปาง ได้เดินทางไปเยี่ยมแล้ว
    นอกจากนี้ พล.ต.สุรคล ท้วมเสม ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 สั่งการให้ พ.อ.อรรณพ ธรรมลักษมี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายสุรศักดิ์มนตรี ดูแลผู้บาดเจ็บอย่างใกล้ชิด ต่อมา แพทย์ทำบาดแผลแล้วอนุญาตให้กลับบ้านได้ 2 คน ส่วนอีก 1 คนนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล มีบาดแผลถูกไฟลวกระดับสอง ที่มือทั้งสองข้าง แขน คาดอีกประมาณ 2-3 วันน่าจะออกจากโรงพยาบาลไปพักรักษาตัวต่อที่บ้านได้
    นพ.ขจรศักดิ์ แก้วจรัส รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงผลกระทบด้านสุขภาพจากปัญหาฝุ่นละออง โดยเฉพาะพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ที่ถูกยกเป็นเมืองมีค่าฝุ่นละอองสูงสุดในโลก ว่า จากการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ค่า PM 2.5 ขึ้นสูงมาก โดยได้ไปเยี่ยมกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้สูงอายุ ในศูนย์พัฒนาสวัสดิการผู้สูงอายุ 2 แห่งในเขตเทศบาล ซึ่งมีประมาณกว่า 100 คน พบว่ามีการเตรียมสถานที่ได้ดี มีการฉีดพ่นละอองน้ำตามอาคาร และติดตั้งเครื่องวัดค่าฝุ่นละออง 2-3 จุด มีการสวมหน้ากาก N 95 ซึ่งได้รับการจัดสรรจากเทศบาล และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เชียงใหม่
    นพ.ขจรศักดิ์กล่าวว่า ได้สอบถามเรื่องภาวะทางเดินหายใจ ผิวหนัง และการระคายเคืองตา ทุกคนมีความรู้สึกว่าเป็นบ่อย แต่ไม่ถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล เช่น คนเป็นโรคหอบ ถุงลมโป่งพอง บอกว่ารู้สึกเหนื่อยมากขึ้น คันผิวหนังบ่อยขึ้นทุกวัน แต่ไม่มีผลให้ผิวหนังเป็นผื่น คันระคายเคืองตามีบ่อยขึ้น เป็นต้น
    "แม้ค่า PM 2.5 จะสูงขึ้น แต่ผลกระทบด้านสุขภาพที่ทำให้เข้าโรงพยาบาลมากขึ้นนั้นยังไม่เห็นผล แต่ผลกระทบทำให้เกิดการระคายเคืองหรือมีอาการมีเยอะขึ้น แต่ไม่ถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล จากการสอบถามแพทย์ เช่น อายุรแพทย์โรคปอด ที่ดูแลเรื่องนี้มาหลายปี สิ่งที่คาดคือปี 2562 คนไข้ต้องเยอะขึ้น เพราะค่าฝุ่นสูงและนาน แต่พบว่าผู้ป่วยต่ำ ซึ่งประเมินว่าชาวบ้านมีการเตรียมตัวมาอย่างดี เพราะรู้ว่ามีค่าฝุ่นสูงขึ้นแน่ๆ และมีข่าวฝุ่นใน กทม.นำมาก่อน ทำให้รับรู้และป้องกันตนเองได้ถูกต้องมากขึ้น"
     ด้านกรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเรื่อง "พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 25-27 มีนาคม 2562)" ฉบับที่ 12 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2562 ความว่า บริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ รวมถึงมีฟ้าผ่า จึงขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่จะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงระวังอันตรายจากฟ้าผ่า สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย โดยมีผลกระทบตามภาคต่างๆ มีดังนี้
    วันที่ 25 มีนาคม ภาคเหนือ จังหวัดแพร่ น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดเลย หนองบัวลำภู ชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์, ภาคกลาง จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ราชบุรี และกาญจนบุรี รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล, ภาคตะวันออก จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
    ในช่วงวันที่ 26-27 มีนาคม ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน แพร่ ลำพูน ลำปาง ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร, กำแพงเพชร และเพชรบูรณ์, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์, ภาคกลาง จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี และพระนครศรีอยุธยา, ภาคตะวันออก จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา จันทบุรี และตราด.