มาถึงขั้นนี้...บรรดาผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหลาย ประมาณ 50 กว่าล้านคน ก็น่าที่จะพอสรุปได้ น่าจะมีใคร? มีพรรคหนึ่ง พรรคใด? อยู่ภายในใจของตัวเอง ชนิดไม่น่าจะโยกคลอนไปเป็นอื่นอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าช่วงใกล้ๆ แตะเส้นชัย บางกลุ่ม บางพรรค กะจะงัดเอา ไม้ตาย ออกมาใส่กันชนิดไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตกันไปข้าง...
----------------------------------------------
แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุเพราะการเลือกตั้งคราวนี้ มันออกจะผิดแผกแตกต่างไปจากครั้งอื่นๆ อยู่พอสมควร คือไม่ได้เกี่ยวกับความชอบ ความชัง ไม่ได้เกี่ยวกับ รสนิยม แบบหนึ่ง แบบใด พรรคหนึ่ง พรรคใด บุคคลหนึ่ง บุคคลใด เป็นการเฉพาะ แต่เป็นเรื่องมุมมองต่อ ภาพรวม ของชาติบ้านเมืองในระยะต่อไป ว่ามันควรจะออกไปในแนวไหน แบบไหน กันแน่ โดยมีพรรค หรือตัวบุคคล เป็นเพียงแค่ องค์ประกอบ ส่วน นโยบาย นั้น แทบไม่ต้องพูดถึง เพราะหนักไปทางแจกแหลก แจกสะบัด ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
------------------------------------------------
หรือพูดง่ายๆ ว่า...การเลือกตั้งคราวนี้ มันคงต้อง มองข้ามช็อต ไปถึงรูปร่าง หน้าตา ของประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ในอีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้ากันโน่นเลย จะเอาแต่ก้มหน้างุดๆ มองซ้าย-มองขวา แค่รอบโต๊ะ รอบตัว อาจไม่ถึงกับถูกเรื่องกันซักเท่าไหร่นัก เพราะถ้ามองแบบนั้น มันออกจะน่าปวดหัว น่าปวดเศียรเวียนเกล้าได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ เนื่องจากมันแยกแยะค่อนข้างลำบากว่าอะไรดี-ไม่ดี อะไรถูก-อะไรผิด แม้แต่อะไรประชาธิปไตย-ไม่ประชาธิปไตยก็เถอะ ด้วยเหตุเพราะมันเกิดการย้ายค่าย ย้ายสังกัด เปลี่ยนสแตนด์พอยต์ วิวพอยต์ เมธอด กันอุตลุด จนแทบสรุปไม่ได้ว่าใครเป็นใคร ไผเป็นไผกันแน่...
--------------------------------------------------
ยิ่งถ้าหากคิดจะแยกกันด้วยใครหล่อ-ใครไม่หล่อ ใครสวย-ใครไม่สวย ใครหนุ่ม-ใครแก่...ยิ่งเข้ารก-เข้าพงหนักขึ้นไปใหญ่ และอันนั้น...คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของ ฟ้ารักพ่อ เรื่องของ ส้มหวาน หรือเรื่องของพวกเด็กๆ ที่เขาคงต้องหาทางเรียนรู้จากประสบการณ์ในชีวิตจริงของตัวเองกันต่อไป แต่สำหรับผู้ที่เติบโตพอที่จะมีสติติดปลายนวมเอาไว้มั่ง มีวุฒิภาวะ มีบทเรียนมากพอที่จะเอามาใช้เป็นแบบอย่าง ตัวอย่าง เป็นแนวทางในการค่อยๆ ก้าว ค่อยๆ เดินไปในหนทางเบื้องหน้า อะไรถูก-อะไรผิด อะไรดี-ไม่ดี เอาไป-เอามาแล้ว...อาจมีน้ำหนักน้อยไปซะยิ่งกว่า อะไรควร-ไม่ควร อะไรเหมาะ-ไม่เหมาะ หรืออะไรที่มันพอสอดคล้อง กลมกลืน ไปกับ ข้อเท็จจริง ของฉากสถานการณ์ในวันข้างหน้า...
-----------------------------------------------
อันนี้นี่แหละ...ที่อาจทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ มันออกจะแตกต่างไปจากครั้งที่แล้วๆ มาอยู่พอสมควร คือมันอาจต้องอาศัยชาติบ้านเมืองนั่นแหละ เป็นตัวตั้ง แทนที่จะอาศัยพรรค อาศัยตัวบุคคล หรืออาศัยความชอบ ความชังแบบเดิมๆ แม้อาจมีอะไรขัดหู ขัดตาอยู่มั่ง มี โลกธรรมอันไม่น่าพึงพอใจ สอดแทรกเข้ามาในอารมณ์ ความรู้สึก อยู่เป็นช่วง เป็นระยะ แต่ถ้าหากเอา ส่วนรวม เป็นที่ตั้ง ก็คงหนีไม่พ้นต้องอดทน อดกลั้น หนีไม่พ้นต้องอาศัย ขันติธรรม มาเป็นตัวชะล้างความรู้สึก เปรี้ยวเท้า หรือ เปรี้ยวตีน กันไปตามสภาพ...
----------------------------------------------------
เพราะยังไงๆ...ในเส้นทางของประเทศไทย ณ อนาคตเบื้องหน้า โอกาสที่ฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด จะยืนหยัดขึ้นมาโดยลำพัง หรือโดยไม่ต้องพึ่งพากำลังแข้ง กำลังขา ของฝ่ายอื่นๆ กันเลยนั้น มันคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแน่ๆ เพราะนอกจากไม่ได้เป็นอะไรที่สอดคล้องกับ ข้อเท็จจริง ภายในสังคม ภายในประเทศแล้ว ยังออกจะไม่สอดคล้องกับความเป็นไปของภายนอก หรือของโลกที่นับวันมันชักเป็น โลกที่อันตราย หนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เป็นโลกที่พร้อมจะฉวยโอกาสแย่งยื้อเอาผลประโยชน์ จากความย่อยแยก แตกกระจาย ของสังคมใด หรือประเทศใดๆ ก็ตาม...
---------------------------------------------------
หรือพูดง่ายๆ ว่า...สุดท้าย ย่อมหนีไม่พ้นที่คงต้องหาทาง จัดสรรปันส่วนผสม กันในหมู่ชาวไทยด้วยกันเองนั่นแหละ ให้เกิดจุดลงตัวให้จงได้ ไม่ว่าจะรักใคร ชอบใคร ในทาง ส่วนตัว แต่สุดท้ายแล้ว...หนีไม่พ้นต้องยึด ส่วนรวม เอาไว้ก่อน ด้วย ข้อเท็จจริง ด้วยฉากสถานการณ์ ที่มันเป็นตัวบังคับเอาไว้ในลักษณะเช่นนี้ การหันไปให้น้ำหนักกับความควร-ไม่ควร เหมาะ-ไม่เหมาะ สอดคล้อง-ไม่สอดคล้อง กับความเป็นไปในอนาคตเบื้องหน้า จึงออกจะมีความสำคัญเอามากๆ หรืออย่างน้อยก็น่าจะสำคัญยิ่งกว่า รสนิยม ที่มักต้องเป็นไปในแบบของใครก็ของมัน...
-----------------------------------------------------
ก็เอาเป็นว่า...สุดท้ายมันจะออกมาหมู่ ออกจ่า ออกสารวัตร หรือไม่ อย่างไรก็ตามที ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา คงมีแต่ต้องหาทาง เดินหน้า ไปตามเงื่อนไขและเหตุปัจจัย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น โดยแม้ว่าเงื่อนไขหรือเหตุปัจจัยนั้นๆ จะกลายเป็นตัวกำหนดให้เกิดความเร็ว ความช้า หรืออาจต้องแฉลบออกข้างในบางช่วง บางเวลา แต่สุดท้ายแล้ว...ย่อมหนีไม่พ้นต้องเดินกันต่อ ไปตามจังหวะ เนื้อร้อง ทำนองเพลง เดินหน้า ของทหารเรือเขานั่นแหละ คือ อนาคตเราไม่รู้-ถึงไม่รู้-ก็ต้องเดินไป-จะกลัวไปไย-เพราะมันก็ล่วงไปตามเวลา-ไม่ตายวันนี้-ก็คงไปซี้เอาวันข้างหน้า-วันนี้ยอ-พรุ่งนี้ด่า-ไม่เป็นขี้ข้า-ปากของใคร-ทั้งเซาท์-ทั้งเวสต์-ทั้งนอร์ท-ทั้งอีสต์-จะคิดถึงตัวเราไย-จะต้องตายทุกคนไป-ส่วนตัวเราตาย-ไว้ยืน-ไว้ยืนแต่ชื่อ-ให้โลกทั้งหลายเขาลือ-ว่าตัวเราคือ-ทหารเรือไทย นั่นแล...
-----------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก William 3... There is one certain means by which I can be sure never to see my country’s ruin: I will die in the last ditch.- มีอยู่วิธีหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าแน่ใจเหลือเกินว่า จะไม่ต้องเห็นความย่อยยับของประเทศตัวเอง นั่นคือ...ข้าพเจ้าได้ตายอยู่ในคูรบแห่งสุดท้าย...
-------------------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |