ในบรรยากาศที่บ้านเมืองมีแนวโน้มกลับไปสู่หลุมดำแห่งความขัดแย้งเพราะบัดนี้ขั้วทางการเมืองได้แตกหน่อออกเป็นสงครามยุค 3 ก๊ก โดยแต่ละฝ่ายแสดงจุดยืนไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ส่งผลให้สปอตไลท์ทางการเมือง เริ่มฉายไปที่ทางสายกลางอย่างพรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของ “ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ” พร้อมเสียงเรียกร้องให้เขาเป็นผู้นำพาชาติออกจากวุ่นวาย ประสานรอยร้าวให้ทุกฝ่ายหยุดทะเลาะ หันกลับมามุ่งหน้าทำงานเพื่อปากท้องและความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเชื่อมั่นว่าด้วยนโยบายการเมืองที่สร้างสรรค์ของพรรคภูมิใจไทย ไม่เอาความขัดแย้ง มุ่งเน้นปัญหาเรื่องปากท้อง จะเป็นทางออกของประเทศ เพราะวันนี้ชาวบ้านเล่าให้ฟังระหว่างลงพื้นที่หาเสียงว่าเบื่อหน่ายความขัดแย้ง ไม่ต้องการสงครามสีเสื้อ และความแตกแยกของบ้านเมือง จึงอยากได้พรรคที่ไม่เป็นศัตรูกับใคร พาชาติออกจากความขัดแย้งเสียที เพราะเราได้เสียเวลามามากแล้วกับการทะเลาะกันและประชาชนกำลังจะอดตาย จากปัญหาการเมืองตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
“ เราเสนอแนวทางประชาธิปไตย ที่กินได้หรือเพื่อปากท้องที่ดีของประชาชนผ่านนโยบาย 12 ด้าน อาทิ กัญชาเสรี เงินเดือน อสม. 2,500-10,000 บาท กำไรแบ่งปันสินค้าการเกษตร เช่น ข้าวที่ชาวนาจะมีรายได 75 % จากกำไร และ พักหนี้ กยศ. 5 ปี เป็นต้น ซึ่งอาจแตกต่างจากประชาธิปไตยพรรคอื่นๆ อาทิแก้รัฐธรรมนูญ เข้าไปแก้แค้น ล้มล้างใคร หรือปลุกระดมประชาชน เพราะผมเห็นว่าประชาธิปไตยจะเบ่งบานก็ต่อเมื่อผู้บริหารของประเทศ สามารถทำให้พี่น้องประชาชนอยู่ดีกินดี มีรายได้ที่ยั่งยืน มีสวัสดิการจากรัฐเข้าไปดูแลตามความเหมาะสม ส่วนแนวทางด้านการเมืองพรรคภูมิใจไทยก็เป็นพรรคที่เคารพผลของการเลือกตั้ง เคารพรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติ เมื่อประชาชนตัดสินใจอย่างไรแล้ว ก็พร้อมจะน้อมรับการตัดสินใจนั้นๆ”
เมื่อถามตั้งเป้าได้ ส.ส.จำนวนเท่าไหร่ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า เราส่ง ส.ส.ทั้งหมด 350 เขต แสดงให้เห็นถึงความพร้อม ที่ต้องการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพื่อไปผลักดันนโยบายแก้ปัญหาปากท้อง และใครที่มาคาดว่าพรรคภูมิใจไทยจะได้เท่านู้นเท่านี้ หรือผลโพลจะว่าอย่างไรก็ปล่อยไปเพราะผลโพลมีขึ้นมีลงตลอดเวลา แต่อยากให้รอดูผลหลังเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคมนี้
“เรายืนยันว่าด้วยความพร้อมของผู้สมัครพรรคที่อยู่กับพื้นที่มานาน นโยบายแก้ปัญหาปากท้องที่เข้าไปเขย่าหัวใจของใครหลายคน ที่เบื่อหน่ายคนเก่า ๆ การเมืองเก่าๆ และที่ผ่านมาก็กล้ำกลืนเพราะไม่มีทางเลือก จนมาเจอพรรคภูมิใจไทย และด้วยแนวทางที่ชูธงไร้ความขัดแย้ง ซึ่งตรงใจกับใครหลายคน จนมีความมั่นใจว่าพี่น้องจะให้โอกาสพวกเรา และได้ส.ส.มากกว่าที่โพลสำนักต่างๆประกาศออกมา ซึ่งปิดหีบเมื่อใด มีแต่คนยกหูหรือเดินทางเข้ามาขออยู่ร่วมทำงานกับพรรคภูมิใจไทยแน่นอน”
พรรคภูมิใจไทยจะสร้างความปรองดองให้ชาติเป็นรูปธรรมได้อย่างไร “นายอนุทิน” กล่าวว่า หากพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็จะทำหน้าที่ฝ่ายบริหารให้ดีที่สุด จะพยายามดึงคู่ขัดแย้งมาทำงานด้วยกัน พร้อมประสานรอยร้าวและไกล่เกลี่ย ข้อพิพาทต่าง ๆ โดยให้ทุกฝ่ายยึดประโยชน์แก่ส่วนร่วมเป็นที่ตั้ง ใครมีความขัดแย้งส่วนตัวก็ให้เก็บเอาไว้ เพราะไม่เกี่ยวกับงาน แต่หากใครคิดจะเข้ามาทำงานเพื่อบ้านเมืองแล้ว เรื่องส่วนตัวต้องเก็บไว้ในใจ ไม่มีการเตะเจาะยางกันตราบใดที่ยังทำงานให้ประชาชน และชาติบ้านเมือง
“จุดยืนของเรา จึงทำให้เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยยืนนิ่งตลอด ท่ามกลางความกดดันว่าให้เลือกยืนอยู่ฝั่งไหน ต้องเลือกข้าง ถามกลับว่าทำไมเราต้องเลือกข้าง เพราะเราอยู่ข้างประชาชน ในเมื่อเราไม่ได้มีปัญหาอะไรกับใคร จึงถึงเวลาให้ทุกฝ่ายให้อภัยและพยายามลืมความเจ็บปวดในอดีตเอาไว้ก่อน หยุดเล่นการเมืองที่จะไปสู่ความแตกแยก และเดินหน้าไปสู่เป้าหมายคือชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริงเสียที”
ถามว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ควรมาอย่างไร “หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย” แสดงจุดยืนว่า นายกฯจะต้องมาด้วยเสียงข้างมากจากสภาผู้แทนราษฎร ส่วนส.ว.สรรหา 250 ต้องเลือกตามความต้องการของประชาชน ที่สะท้อนออกมาจากผลการเลือกตั้ง แต่หากมีการเลือกนายกฯ โดยสภาเสียงข้างน้อย หรือ 126 เสียงส.ส. และให้ส.ว.เข้ามาช่วยเพื่อให้ครบ 376 เสียงเกินกึ่งหนึ่งจากเสียงรัฐสภา 750 เสียงเพื่อได้ตำแหน่งนายกฯ ก็จะทำให้บ้านเมืองยิ่งถอยหลังเข้าคลอง
“นายกฯ ท่านนั้นก็จะปฏิบัติงานไม่ได้ เตรียมเอาตัวไปตั้ง ไว้บนเมรุและเตรียมเผาได้เลย พรรคภูมิใจไทยไม่เอาด้วย เพราะถือว่าไม่ถูกเจตนารมณ์ของระบอบประชาธิปไตย และไม่ทำให้บ้านเมืองเดินไปได้ และตกเข้าไปในหลุมดำ” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุ
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่จะมีอำนาจนอกระบบแทกแซงให้ใครคนหนึ่งมาเป็นนายกฯ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ตอบว่า “เชื่อว่าส.ส.ทุกคนมีอิสระ มีเอกสิทธิ์ส่วนตัว บังคับหัวหน้าพรรคได้ แต่ก็บังคับส.ส.ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง” ส่วนที่มีเสียงวิเคราะห์กันว่าอาจมีการตั้งนายกฯเสียงข้างน้อยไปก่อน (126 ส.ส.) แล้วไปดูดส.ส.ตามห้องน้ำสภาฯ ภายหลังอย่างในอดีต “อนุทิน” มองว่า “ หากมีปัญญาดูดส.ส.ได้อีก100 กว่าเสียงเพื่อให้ได้สภาล่างมีเสียงเกิน 251 เสียง อยากทำได้ก็ทำ... มีส.ส.ลักษณะอย่างนั้นอยู่ในบ้าน100กว่าคน เจ้าของบ้านคงมีความสุขหรอก” (หัวเราะ)
ส่วนแนวทางจัดตั้งรัฐบาลควรเป็นอย่างไร นายอนุทิน ให้ความเห็นว่าควรเปิดโอกาสให้พรรคที่ได้เสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลก่อน หากพรรคอันดับหนึ่งจัดตั้งไม่ได้ ก็ให้พรรคอันดับสอง หรือไล่ลงมาเรื่อยๆ จนกว่าจะตั้งรัฐบาลได้ โดยยึดกรอบตามกติกา และกฎหมาย เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อถามว่าหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยอาสาตัวเป็นนายกรัฐมนตรี มีจุดเด่นที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างไร “อนุทิน” กล่าวอย่างมั่นใจว่า ผมมีประสบการณ์ทำงานเป็นที่ยอมรับในภาคธุรกิจ เคยกอบกู้ธุรกิจที่เคยล้มละลายในยุคปี 2540 จนกลับมายืนผงาดเป็นบริษัทที่เข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืนในระยะเวลาไม่นาน ใครอยากรู้รายละเอียดแบบชัดเจนลองอ่านจากหนังสือ “มีรู...มีหนู” ที่สะท้อนอัตลักษณ์ของตัวเองว่า “ที่ไหนมีโอกาสทำงานเพื่อส่วนรวม...ที่นั่นมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล”
นอกจากนี้ ผมยังมีสายสัมพันธ์ดีกับทุกฝ่ายทั้งคนในประเทศและต่างชาติ ไม่ขัดแย้งกับใคร เน้นทำงานมากกว่าพูด กล้าตัดสินใจ และกล้าทำอะไรที่คนส่วนใหญ่ไม่คาดคิด และเกิดประโยชน์ โดยไม่สนใจผลกระทบและความเสียหายแก่ตัวเอง
“ จึงขอโอกาสจากพี่น้องให้เปิดใจเลือกคนใหม่ หยุดการเมืองเก่าๆ หยุดสงครามสีเสื้อ หาคนกลางที่ไม่เป็นศัตรูกับใครประสานรอยร้าวให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน จากนั้นก็จะก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อแก้ปัญหาปากท้อง สร้างความร่ำรวยให้แก่พี่น้องประชาชน คืนรอยยิ้ม ความสงบสุขกลับสู่ประเทศไทยเสียที และหากผมทำไม่ได้ ไม่ต้องมาไล่...เพราะผมพิจารณาตัวเองไม่อยู่ให้ใครอึดอัด และสิ้นเปลืองภาษีของพี่น้องประชาชนอย่างแน่นอน ” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้คำมั่นทิ้งท้าย.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |