“บ้าน” คืออนาคต คงเป็นคำกล่าวที่ไม่ไกลจากความจริงนัก เพราะทุกคนต้องอาศัยในบ้านไปตลอดชีวิต ดังนั้นการเลือกบ้านสักหลังหนึ่งคงจะต้องตอบโจทย์ในระยะยาวทั้งในแง่ของคุณภาพบ้าน ประโยชน์ใช้สอย และจะดียิ่งขึ้นหากสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตในอนาคตที่เทคโนโลยีต่างๆ จะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หรือ Disruptive Technology

        เมื่อพิจารณา Disruptive Technology ซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงและจะมีผลต่อการดำรงชีวิตในอนาคตในไม่ช้านี้ คงจะหนีไม่พ้นในเรื่องของพลังงานทดแทนกำลังเป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้ความสนใจ เพราะมันเกี่ยวโยงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม ดังนั้นจึงมีการผลักดันให้ใช้แสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้า โดยเฉพาะโซลาร์รูฟท็อป ที่มีกระแสความนิยมอย่างล้นหลาม ซึ่งแต่เดิมนั้นการที่จะติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปนั้นต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่ด้วยนวัตกรรมที่มีการวิจัยและพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทำให้ราคาที่แพงหูฉี่ แต่คุณภาพการผลิตไฟฟ้าต่ำ กลับมีต้นทุนลดลงอย่างต่อเนื่อง และเริ่มมีความคุ้มค่าต่อการติดตั้งมากขึ้น 

        และในขณะที่การวิจัยและพัฒนาก็ยังไม่หยุดนิ่ง โดยล่าสุดเริ่มมีการคิดค้นระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) ที่จะทำให้ไฟฟ้าจากโซลาร์ที่ผลิตกลางวันเก็บไว้ใช้ในกลางคืนเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดยิ่งขึ้น

        จากกระแสความนิยมและการสนับสนุนจากภาครัฐที่ผลักดันนโยบายพลังงานหมุนเวียนมาใช้มากขึ้น เพื่อมุ่งพลังงานสีเขียวในอุตสาหกรรม จึงได้มีการผลักดันยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้ค่ายรถยนต์หลายๆ ค่ายไม่ยอมหลุดเทรนด์ จึงได้หันมาพัฒนาเครื่องยนต์ไฟฟ้า (อีวี) โดยในระยะแรกนี้ก็มีทั้งปลั๊กอินไฮบริด (Plug-In HYBRID) ที่ผสมผสานระหว่างไฟฟ้ากับน้ำมันและไฟฟ้าล้วนคืออีวี 

        ซึ่งอนาคตหลายฝ่ายต่างก็เชื่อมั่นว่าอีวีคือยานยนต์แห่งอนาคตแน่นอน และรัฐบาลไทยเองก็มีเป้าหมายในการพัฒนาไปสู่อีวีเช่นกัน โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่า ในปี 2579 จะมีรถอีวี 1.2 ล้านคัน

        อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีพลังงาน และการขนส่งกำลังพัฒนาต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ให้การพัฒนาเมืองที่ทั่วโลกกำลังมุ่งไปสู่เมืองอัจฉริยะ หรือสมาร์ทซิตี้ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยจึงมีการเปลี่ยนแปลงหันมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้น โดยมุ่งเน้นพลังงานสะอาอาด จะได้ชัดเจนว่ามีหลายๆ โครงการที่หันมาติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป

        การดำเนินการดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นการเปิดเกมรุกของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศ อาทิ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ หรือ SENA ที่เรียกว่าเป็นรายแรกของประเทศที่กล้าประกาศที่จะเดินหน้าพัฒนาโครงการที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาดแบบ 100% ทั้งโครงการหรือเสนาบ้านโซลาร์ทุกหลังนั่นเอง และในปี 2561 และยังนำร่องติดตั้งเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า (EV Charger) ที่ผู้อยู่อาศัยสามารถเลือกติดตั้งพร้อมใช้ได้ในทันทีเมื่อเข้าอยู่อาศัย หรือ EV ready  ถือว่าโอกาสของบริษัทเสนาที่สร้างความแตกต่างจากผู้พัฒนารายอื่นๆ และสามารถดึงดูดลูกค้าได้ และถือว่าเป็นบ้านอินเทรนด์ที่ใช้พลังงานสะอาด

        อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลพยายามที่จะผลักดันโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และโครงการรถไฟฟ้าก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์นั้นมีข้อจำกัดที่ผลิตได้เฉพาะในช่วงที่มีแสงแดด เช่นเดียวกันกับรถไฟฟ้าก็มีข้อจำกัดที่แบตเตอรี่ที่กักเก็บไฟฟ้ามีราคาแพง ดังนั้นทำให้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกันให้ความสนใจในเรื่องพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ซึ่งได้มีการนำร่องไปแล้ว อาทิ พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP) บริษัท เบต้า เอ็นเนอร์ยี่ โซลูชั่น จำกัด เอ็นเซิร์ฟ กรุ๊ป และกลุ่ม ปตท.

        สำหรับความคืบหน้านั้น ขณะนี้แต่ละบริษัทก็พยายามที่จะซ่อนเงียบเพื่อพัฒนาคุณภาพสินค้าของตัวเองให้ถูกใจผู้บริโภค แต่ที่แน่ๆ หากมีการจัดตั้งนิคมเพื่อผลิตรถไฟฟ้าและผลิต Energy Storage เกิดขึ้นในประเทศไทยได้จริง การที่จะมีรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งให้เกลื่อนเมืองก็คงไม่ไกล และตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ในปี 2579 จะมีรถอีวี 1.2 ล้านคัน ก็ได้เห็นกันแน่ และจะเป็นค่ายไหนที่จะขึ้นมาครองตลาดก็ต้องขึ้นกับความพร้อมของค่ายนั้นๆ

        ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในโลกปัจจุบันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับเปลี่ยนธุรกิจ ซึ่งการปรับตัวเร็วให้สอดรับกับเทรนด์ในอนาคตก็ย่อมได้เปรียบคู่แข่ง ขณะเดียวกันหากเทรนด์นั้นนำมาซึ่งสิ่งที่ดีกว่าทั้งการดูแลสิ่งแวดล้อม การประหยัดพลังงาน เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากจะตกเทรนด์.