16 มี.ค.62 - "วีรชัย พลาศรัย" ชื่อนี้โด่งดังเป็นที่รู้จักจากกรณี การต่อสู้เรื่องดินแดนเขาพระวิหาร ระหว่างไทยกับกัมพูชา เมื่อปี 2556 แต่ก่อนหน้านั้น ท่านทูตวีรชัย เจออะไรมาบ้าง โดยเฉพาะประเด็นที่การเมืองเข้าไปแทรกแซง จนเกิดผลกระทบอื่นๆตามมา
เมื่อปี 2551 ชื่อของ ท่านทูตวีรชัย เริ่มเป็นที่รู้จัก ในฐานะอธิบดีกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ โดยวันที่ 10 เม.ย. 2551 ท่านทูตวีรชัย ได้เชิญนายโลรองต์ บิลี เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำประเทศไทย และนายอึง เซียน เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย มาพบเพื่อแจ้ง ท่าทีของไทยเกี่ยวกับแผนที่โบราณคดีจังหวัดอุดรเมียนเจย และแผนที่โบราณคดีจังหวัดพระวิหาร โดยอาศัยข้อมูลจากกรมภูมิศาสตร์กัมพูชา ซึ่งไทยเห็นว่าแผนที่ทั้งสองฉบับแสดงข้อมูลเกี่ยวกับเส้นเขตแดนคลาดเคลื่อน
ครั้งนั้นท่านทูตวีรชัย ได้ขอให้กัมพูชาถอนกำลังทหาร และตำรวจของกัมพูชาออกไป จากดินแดนปราสาทพระวิหาร ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ไทย กับกัมพูชา อ้างสิทธิทับซ้อนกันอยู่
แต่ต่อมา วันที่ 6 พ.ค.2551 รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช มีมติ โยกท่านวีรชัย จากอธิบดีกรมสนธิสัญญาแล กฎหมาย ไปเป็น เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง
การโยกย้ายครั้งนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูในหมู่ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะท่านวีรชัย เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเชี่ยวชาญงานกฎหมายระหว่างประเทศมากที่สุดคนหนึ่ง
มีหลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า สาเหตุที่แท้จริงของคำสั่งโยกย้ายคือ ฝ่ายการเมืองมีการประสานด้วยวาจา เพื่อขอเอกสารคดีทุจริตการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 ที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ช่วยแปลให้ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งท่านทูตวีรชัย ไม่ส่งมอบให้ เพราะเห็นว่าต้องมีเอกสารแจ้งขอเป็นลายลักษณ์อักษร จึงสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายการเมือง นำไปสู่การโยกย้ายดังกล่าว
แต่นพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวอ้างในภายหลังว่า เป็นการย้ายเพื่อความเหมาะสม
ขณะที่ นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ในขณะนั้น ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกด้วยลาย ลงวันที่ 7 พ.ค.2551 มีข้อความระบุตอนหนึ่งว่า
"...มีความภูมิใจที่ราชอาณาจักรไทยมีนักการทูตที่เก่งกาจ ท่านอธิบดีวีรชัย ซึ่งทำหน้าที่อย่างดีเลิศในการปกป้องผืนแผ่นดินไทยและผลประโยชน์ของชาติ...ขอให้ข้าราชการทุกท่านของกรมสนธิสัญญาฯยึดถือท่านอธิบดีวีรชัยเป็นบุคคลตัวอย่าง ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติอย่างสุดความสามารถ และรักษาเกียรติยศของชาติ ของกระทรวงการต่างประเทศและของตนอย่างสมศักดิ์ศรี ของข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
ต่อมาวันที่ 5 ส.ค. 2551 ช่วงปลายรัฐบาลสมัคร มีการย้าย ท่านทูตวีรชัย จากเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง กลับมาเป็นอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เช่นเดิม ครั้งนั้น นายเตช บุนนาค รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์สั้นๆ ว่า “ได้ให้กลับไปอยู่สถานะเดิมก่อนการโยกย้าย เพราะจะช่วยให้การทำงานดีขึ้น”
และนับเป็นการมองการณ์ไกล เมื่อวันที่ 17 มี.ค.2552 ครม.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีมติย้ายท่านทูตวีรชัย จากอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ไปเป็น เอกอัครราชทูตไทยประจำเนเธอร์แลนด์ โดยหลายฝ่ายมองว่า ท่านทูตวีรชัย เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย รัฐบาลจึงให้ไปเตรียมการ ในการต่อสู้ข้อพิพาทเขาพระวิหาร เนื่องจากประเทศเนเธอร์แลนด์นั้น เป็นที่ตั้งของศาลโลก
ภายหลังการต่อสู้คดีเขาพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชา ณ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก ได้เกิดความนิยมในตัวคณะทนายไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหัวหน้าทีมอย่างท่านทูตวีรชัย
นพ.ประเวศ วะสี ได้ให้ทัศนะต่อเรื่องนี้ไว้ว่า วีรชัยฟีเวอร์ที่นิยม คือ นิยมความรู้ความสามารถของท่านทูตวีรชัย ซึ่งต้องอาศัยความบากบั่นพากเพียร เพื่อความรู้ลึก ซึ่งถ้าไม่รู้จริงก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ในกรณีนี้คือ ต้องแพ้คดีเขาพระวิหาร คนไทยจึงควรจะสนใจใฝ่หาความรู้ สำหรับวีรชัยฟีเวอร์นั้นเป็นเรื่องที่ดี คือ นิยมชมชอบในคนที่มีความรู้ความสามารถ ถ้าท่านทูตวีรชัยไม่ใช่คนใฝ่เรียนรู้ ไทยก็มีแต่จะแพ้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |