น่าสงสารลุงตู่


เพิ่มเพื่อน    

 ลุงตู่เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการทำรัฐประหาร จึงมีคนเอาป้ายแปะติดหน้าผากว่าเป็นเผด็จการ เป็นสมการแบบง่ายๆ โดยไม่ต้องพิจารณาการกระทำ เพียงแค่มาจากการทำรัฐประหารก็จะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นเผด็จการ เป็นคนที่ใช้อำนาจการเป็นรัฏฐาธิปัตย์ในการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ถูกนำไปเปรียบเทียบกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่พวกเขาเรียกว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เพราะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ส่วนเมื่อเข้ามาแล้วบริหารประเทศอย่างไร ใช้อำนาจอย่างไร ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนหรือไม่ ระหว่างรัฐบาลลุงตู่ที่มาจากการทำรัฐประหาร และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ใครให้เสรีภาพกับประชาชนมากกว่ากัน ใครใช้อำนาจลิดรอนเสรีภาพประชาชนมากกว่ากัน ในที่สุด การที่ลุงตู่มาจากการทำรัฐประหารก็ต้องเผชิญกับวาทกรรมของนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามว่าลุงตู่เป็นเผด็จการ

เมื่อลุงตู่เข้ามาบริหารประเทศก็พบว่ามีปัญหาที่จะต้องแก้มากมาย และหลายเรื่องลุงตู่แก้เสร็จแล้ว หลายอย่างก็กำลังดำเนินการอยู่ หลายอย่างยังแก้ไม่ได้ เพราะมีอุปสรรคบางอย่าง แต่เรื่องราวเหล่านี้ไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นข่าวประชาสัมพันธ์ ทั้งนี้เพราะหน่วยงานต่างๆ ที่ทำหน้าที่ในการแก้ปัญหาต่างๆ เหล่านั้น ไม่มีความสามารถด้านการประชาสัมพันธ์ดีพอ หรือบางทีมีความสามารถที่จะทำได้ แต่ก็ไม่มีงบประมาณ หรือบางครั้งหัวหน้าในหน่วยงานนั้นไม่เชื่อเรื่องประชาสัมพันธ์ ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับสื่อ ผลลัพธ์ก็คือ ประชาชนจำนวนมากไม่รู้ว่ารัฐบาลของลุงตู่ได้แก้ไขอะไรไปบ้างที่ลุล่วงแล้ว และกำลังเดินหน้าแก้ไขอะไรอยู่อย่างต่อเนื่อง และเรื่องที่ยังไม่ได้แก้นั้นเพราะอะไร มีอุปสรรคอะไร ดังนั้น เวลานี้ลุงตู่ที่เป็นผู้ที่พลังประชารัฐเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ก็ต้องโดนวาทกรรมว่าเป็นรัฐบาลที่อยู่มา 5 ปีไม่มีผลงาน

ในการบริหารบ้านเมือง เมื่อมีปัญหาจะต้องแก้ การจะสร้างงานใหม่ก็ยาก ทั้งงบประมาณ ทั้งเวลา ทั้งกำลังคน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลลุงตู่ไม่ได้สร้างอะไรใหม่ๆ เลย การพัฒนาระบบ logistics การริเริ่มโครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) การทำสัญญาทางการค้ากับประเทศต่างๆ การดึงการลงทุนจากต่างประเทศด้วยการเดินสายไปเจรจาแบบทวิภาคี การเอาที่ดินคืนจากผู้ที่บุกรุก ผลงานทางด้านเศรษฐกิจมหภาคที่มีตัวเลขดีๆ ตั้งหลายเรื่อง ทั้งค่าเงินบาท การส่งออก เงินทุนสำรอง การเติบโตของ GDP การสร้างความเข้มแข็งให้แก่วิสาหกิจชุมชน ด้วยโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี การส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง การเติบโตของการท่องเที่ยวที่ทำให้ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นผลงาน “สร้าง” เพิ่มเติมจากผลงาน “แก้” ที่มีหลายร้อยเรื่อง แต่เรื่องเหล่านี้ไม่เป็นที่รับรู้ของประชาชนโดยทั่วไป จะมีคนที่รู้อยู่จำนวนจำกัดเฉพาะคนที่สนใจติดตามข่าวสารบ้านเมืองจริงๆ เท่านั้น เพราะการให้ข่าวเรื่องเหล่านี้ มักจะกระทำกันเพียงครั้งเดียว ไม่มีการใช้ความถี่ ไม่มีการ บูรณาการช่องทางการสื่อสาร ไม่มีการบูรณาการวิธีการนำเสนอ และทั้งหมดนี้ก็เป็นวิบากกรรมของลุงตู่ที่ต้องเจอกับวาทกรรม อยู่มา 5 ปี ไม่มีผลงาน เพราะเป็นทหาร ทำงานบริหารประเทศไม่เป็น

เมื่อลุงตู่มองเห็นว่าทั้งงาน “แก้” และงาน “สร้าง” หลายอย่างจะต้องสานต่อ จึงยอมรับเชิญจากพรรคพลังประชารัฐให้เป็นผู้ที่พรรคจะเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี การหาเสียงก็มีอุปสรรคมากมาย ตอนที่ลุงตู่ยังไม่ได้รับเชิญ ลุงตู่ก็ห้ามพลังประชารัฐไม่ให้เอาผลงานรัฐบาลไปหาเสียงให้กับพลังประชารัฐ ส่งผลทำให้พลังประชารัฐพูดอะไรมากไม่ได้ ในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีลุงตู่ไม่สามารถช่วยพลังประชารัฐหาเสียง ในขณะที่คนที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคอื่นๆ นั้น ตระเวนหาเสียงช่วยลูกพรรค ขึ้นเวทีโน้นเวทีนี้หลายสิบเวที ตัวลุงตู่เองต้องคิดหนัก แม้ว่า กกต.จะบอกว่าสามารถขึ้นเวทีปราศรัยช่วยพลังประชารัฐหาเสียงได้ แต่ไม่รับประกันความเสี่ยงใดๆ อะไรพูดได้ อะไรพูดไม่ได้ ลุงตู่จะต้องพิจารณาเอง ถ้าหากมีผู้ร้อง กกต.ก็ต้องพิจารณา ซึ่งการพิจารณาจะส่งผลทำให้ลุงตู่ขาดคุณสมบัติ หรือจะทำให้พรรคพลังประชารัฐถูกยุบพรรคก็เป็นได้ ในที่สุดลุงตู่ก็ต้องตัดสินใจ ไม่ขึ้นปราศรัยช่วยพลังประชารัฐหาเสียง อย่างนี้เราคงต้องพูดว่าน่าสงสารลุงตู่ในการรับเชิญเป็นผู้ที่จะถูกนำเสนอเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะการอยู่ต่อของลุงตู่นั้นต้องเผชิญกับวาทกรรม “การสืบทอดอำนาจ” มากกว่าที่จะมองกันว่ามาสานต่องานที่ทำไว้ให้เดินหน้าต่อไป

เพราะลุงตู่เป็นทหารที่มาเป็นนายกรัฐมนตรี และมีคะแนนนิยมแตกต่างจากรัฏฐาธิปัตย์คนอื่นที่ผ่านมา และเมื่อตัดสินใจรับเชิญจากพลังประชารัฐที่จะเสนอให้ลุงตู่เป็นนายกรัฐมนตรี ส่งผลทำให้พรรคการเมืองต่างๆ ที่ต้องแข่งกับลุงตู่ในครั้งนี้ ลากเอาทหารเข้ามาเกี่ยวข้องกับการแข่งขันทางการเมืองกับแบบรุมกินโต๊ะ มีทั้งการจะลดกำลังกองทัพ ลดจำนวนนายพล ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ตัดงบประมาณของกองทัพ วิพากษ์วิจารณ์การจัดซื้ออาวุธ ตำหนิบทบาทของทหารหลายเรื่อง ร่วมทั้งกล่าวหาว่าทหารไม่เป็นกลาง ปฏิบัติหน้าที่ลำเอียง เข้าข้างพรรคพลังประชารัฐ เพื่อช่วยให้ลุงตู่ชนะการเลือกตั้ง และที่ไปไกลกว่านั้น ก็เกิดวาทกรรมว่า “มีทหารไว้ทำไม” เป็นการดูถูกคุณค่าของการดำรงอยู่ของทหาร จนกลายเป็นปมขัดแย้งระหว่างทหารและหัวหน้าพรรคการเมืองบางพรรค และเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แทนที่จะมองว่าทหารเขาจะต้องรักษาศักดิ์ศรี และยืนยันความมีคุณค่าของกองทัพ ก็จะมองไปว่าเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เพราะทหารพยายามจะช่วยลุงตู่ให้ชนะการเลือกตั้ง ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ไม่เป็นผลดีสำหรับประเทศชาติเลย หากเราหวังให้การเลือกตั้งยุติความขัดแย้ง และนำไปสู่การปรองดอง ก็เห็นทีจะยากแล้ว

มีชื่ออยู่ในการเลือกตั้ง แต่ไม่อาจจะทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับการหาเสียงได้ ถูกตีกรอบให้เป็นกลาง แล้วจะหาเสียงได้อย่างไร เนื้อหาสาระในการหาเสียงจะเป็นกลางได้อย่างไร การหาเสียงให้กับพรรคใดก็ต้องพูดจาเชิญชวนให้ประชาชนเลือกพรรคนั้น พอพูดออกมาก็กลายเป็นว่าไม่เป็นกลาง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ลุงตู่จะขึ้นไปหาเสียงบนเวทีปราศรัยให้เป็นความเสี่ยงจากฝ่ายตรงกันข้ามที่จ้องจับผิดเพื่ออะไร จึงทำให้มองว่าลุงตู่เดินเข้าสู่การแข่งขันทางการเมืองที่น่าสงสาร เพราะมีข้อจำกัดมากมาย และมีคนจ้องจับผิดเยอะเหลือเกิน หรือว่าที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะคนที่เขารุมกินโต๊ะลุงตู่อยู่ตอนนี้ เขามองว่าถ้าไม่เล่นกันแรงๆ ลุงตู่มีโอกาสที่จะชนะ น่าคิดนะคะ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"