ประยุทธ์หลบเขียง พับแผนขึ้นปราศรัย/‘มาร์ค’ไม่ผสมพันธุ์พรรคโกง


เพิ่มเพื่อน    

 “ประยุทธ์” ลั่นแข็งแรง 100% ทั้งกายและใจ ส่วนเรื่องขึ้นเวทีไฮด์ปาร์กต้องหารือฝ่ายกฎหมายให้ดี เพราะมีพวกจ้องตาเป็นมันว่าขึ้นเขียงแล้ว “บิ๊ก พปชร.” สุมหัวก่อนสรุปพับแผนให้ “ลุงตู่” ขึ้นปราศรัย คาดผลเสียเยอะกว่าผลดี ทำสังคมมุ่งความขัดแย้งมากกว่านโยบาย “ศาลปกครอง” แจงละเอียดไม่เคยตีความกรณีหัวหน้า คสช. เหตุเพราะใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญไม่เข้าข่ายคดีปกครอง “มาร์ค” ประกาศชัดไม่ผสมพันธุ์พรรคขี้โกงแน่

เมื่อวันอังคาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ก่อนตอบคำถามสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างอารมณ์ดีว่า ขอบคุณคำถามของสื่อที่เป็นประโยชน์ทุกคำถาม ส่วนสถานะนั้นคงไม่ต้องตอบ เพราะเป็นนายกฯ อยู่แล้ว 
ถามว่ากรณีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) วางแผนให้ขึ้นปราศรัยหาเสียงที่จังหวัดนครราชสีมาในวันที่ 10 มี.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ยังหารือกันอยู่ ต้องดูองค์ประกอบว่าทำอะไรได้บ้าง ส่วนปัญหาสายตาจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจหรือไม่นั้น ตอนนี้สายตายังไม่หายเป็นปกติ แพทย์ให้ระมัดระวังอยู่สักระยะหนึ่ง ให้ถนอมสายตา วันนี้ก็ใส่แว่นมาป้องกันแสงแฟลช เพราะถ่ายภาพกันจัง แต่ก็ไม่เป็นไร อยากถ่ายก็ถ่ายไป ก็ต้องรักษาตัว
“ที่ถามว่าปัญหาสายตาจะส่งผลต่อการตัดสินใจหรือไม่นั้น ตากับใจคนละเรื่อง ผมยังแข็งแรงทุกอย่าง ถ้าดูผลการตรวจแล้วจะตกใจ ผมแข็งแรงทุกประการ ใจก็แข็งแรงอยู่ ไม่มีท้อแท้ เพราะผมทำงานให้ประชาชน ทั้งวันนี้และทำเพื่ออนาคตไปด้วย ส่วนการช่วย พปชร.หาเสียง ต้องดูว่าจะทำได้อย่างไร หลายคนก็จ้องตาเป็นมัน เอาละ เตรียมขึ้นเขียงแล้ว ต่อไปนี้จะเตรียมฟ้อง คือตั้งแท่นรอฟ้องไว้เลย ผมก็ต้องปรึกษาฝ่ายกฎหมายให้ดี ว่าจะทำอะไรได้บ้าง เห็นใจผมเถอะ อย่าเอาเป็นเอาตายกับผมนักเลย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ย้ำว่า เรื่องการหาเสียงถามมาหลายข้อ คิดว่ามันก็ก้ำกึ่ง ต้องระมัดระวังไว้ก่อน ฉะนั้นอาจต้องปรับวิธีการ รูปแบบว่าจะทำอย่างไรได้ต่อไป และในวันนี้ก็พบประชาชนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ซึ่งทำได้ตามกฎหมายทุกประการ 
เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรกับกระแสที่ระบุว่าเลือก พล.อ.ประยุทธ์ แต่ไม่เลือกพรรคที่ให้ชื่อไปเป็นแคนดิเดตนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่รู้ว่าเขาทำโพลมาอย่างไรในเรื่องคำถามคำตอบ ถ้าเขียนแยกเขาก็ตอบแยก ต้องดูว่าเขาต้องการอะไร ความสงบเรียบร้อยอะไรหรือเปล่า อดีตเป็นอย่างไร ปัจจุบันเป็นอย่างไร อนาคตควรเป็นอย่างไร เป็นเรื่องของประชาชนที่จะตัดสินใจ
“ผมยังแข็งแรง 100% เข้าใจหรือยัง 100% ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าใครจะโจมตีอะไร ต้องยึดมั่นในคุณความดีที่เราได้ทำไว้ ความมั่นใจ ความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราตั้งมั่นว่าประเทศไทยจะพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างไร ซึ่งการพัฒนาเหล่านั้น นำทางด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 และต้องเกิดความต่อเนื่องเป็นระยะๆ เป็นขั้นๆ ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ที่รัฐบาลนี้ทำมาทั้งหมด” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่าการช่วย พปชร.หาเสียง นอกจากข้อกฎหมายที่ต้องระวัง ยังมีหลักเกณฑ์อะไรที่จะพิจารณาว่าจะไปหรือไม่ไป พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ต้องดูหลายอย่าง มีข้อห่วงใยหลายเรื่องต้องดู และเมื่อถามว่าวันนี้นายกฯ ก็ลงพื้นที่พบประชาชนอยู่แล้ว ทำไมยังต้องลงไปช่วย พปชร.หาเสียงอีก พล.อ.ประยุทธ์ตอบทันทีว่า “ผมไม่รู้ ไม่ทราบ คงเป็นเรื่องการเมืองเขามั้ง ผมก็ทำหน้าที่ของผม และผมก็มีโอกาสในฐานะที่เป็นนายกฯ ก็พบประชาชนได้ แต่คงไปขึ้นเวทีมันลำบากมั้ง”
เมื่อถามว่าจะชัดเจนในการลงไปช่วย พปชร.หาเสียงได้เมื่อไหร่ เพราะวันที่ 10 มี.ค.นี้พรรควางคิวให้ขึ้นปราศรัยที่ จ.นครราชสีมา พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สื่อไม่ห่วงตนเองเลย เธอไม่ห่วงว่าตนเองจะถูกฟ้องร้องอะไรหรือ ไม่ห่วงกันเลยนะ นี่รักกันจริง ขอบคุณนะ จะรู้ว่าไป แต่ไปไหนยังไม่รู้ อย่างไรก็ตาม กรณีที่ พปชร.มีแผนให้ลงพื้นที่ กทม.ช่วยหาเสียงนั้น ยังพิจารณาอยู่ และในเรื่องของทีมรักษาความปลอดภัยระหว่างลงพื้นที่ต่างๆ ยังใช้ได้ เพราะเป็นนายกฯ
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยกล่าวถึงการดูแล พล.อ.ประยุทธ์ในการขึ้นเวทีปราศรัยช่วยพรรค พปชร.ว่า เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของทุกจังหวัดต้องปฏิบัติในลักษณะที่ต้องไม่ก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องของกฎหมาย คือการใช้ทรัพยากรทางราชการหรือเวลาทางราชการ ต้องดูแลตามความเหมาะสมที่กฎหมายเปิดให้ทำได้ เช่น การดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยให้ปฏิบัติตามกรณีที่นักการเมืองพรรคอื่นๆ ลงไปในพื้นที่ โดยต้องระมัดระวังให้ดี เพราะจะไปสุ่มเสี่ยงการกระทำผิดตามกฎหมาย
“เชื่อว่านายกฯ คงระมัดระวังอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้เกิดเป็นประเด็น ส่วนเรื่องการรักษาความปลอดภัยให้ปฏิบัติไปตามหน้าที่ของตัวเอง และทุกพื้นที่ก็ต้องระมัดระวังด้วย หากมีใครที่ไม่หวังดีไปทำอะไรเกินเลย จะกลายเป็นประเด็นที่ไปถึงตัวนายกฯ” พล.อ.อนุพงษ์กล่าว
งดให้'บิ๊กตู่'ขึ้นเวทีแล้ว
ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานคณะกรรมการรณรงค์การหาเสียงเลือกตั้งพรรค พปชร. ระบุว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ช่วยพรรคปราศรัยจะเป็นประโยชน์ต่อคะแนนและกระแสของพรรคเป็นเชิงบวกสูงอย่างมาก โดยประชาชนเองก็อยากฟังท่านพูดปราศรัย และยินดีออกมาต้อนรับอย่างล้นหลาม แต่ทีมงานต้องศึกษารายละเอียดของข้อกฎหมายต่างๆ ให้รอบคอบว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ ไม่ให้สิ่งต่างๆ ที่ท่านจะทำผิดกฎหมายและข้อบังคับ เนื่องจากขณะนี้บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ จ้องรุมกินโต๊ะ ทั้งพรรค พปชร. และ พล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้นตรงจุดนี้ต้องวางแผนให้ละเอียดรอบคอบ
    รายงานข่าวจากพรรค พปชร.แจ้งว่า เดิมที่วางแผนให้ พล.อ.ประยุทธ์ช่วยพรรคหาเสียงและขึ้นเวทีปราศรัย 4 ภาค โดยเริ่มที่ จ.นครราชสีมา ในวันที่ 10 มี.ค.นี้นั้น ล่าสุด พปชร.ได้เตรียมยกเลิกแผนการให้ พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเวทีปราศรัยทั้งหมดแล้ว เนื่องจากแกนนำของพรรคได้ประชุมกันเมื่อวันที่ 4 มี.ค. ได้ข้อสรุปกันว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นปราศรัย สิ่งที่ตามมาจะได้ไม่คุ้มเสีย เพราะจะเจอกับการถูกรุมโจมตีจากฝ่ายต่างๆ รวมถึงประเด็นการตอบโต้ที่จะมีตามมาของผู้เกี่ยวข้องในพรรคจะส่งผลกระทบกับสิ่งที่พรรคได้นำเสนอกับประชาชนให้หันไปสนใจประเด็นขัดแย้งมากกว่านโยบาย ดังนั้น พปชร.จึงใช้ช่วงโค้งสุดท้ายในการหาเสียงเลือกตั้ง มุ่งนำเสนอนโยบายจะเป็นผลดีกับพรรคมากกว่า
    “กลยุทธ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์จะใช้เพื่อช่วย พปชร.หาเสียงคือการลงพื้นที่ใน กทม. เพื่อพบปะประชาชน และให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส. แต่อาจใช้รูปแบบที่ไม่เป็นทางการ หรืออาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบตามความเหมาะสมได้ทุกเมื่อ”
ขณะที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวในเรื่องนี้ว่า ประชาชนได้เห็นท่านมา 5 ปี พูดทุกวันศุกร์อยู่แล้ว แต่ก็ถือว่าดีหากจะมาหาเสียง หากคนชอบท่านก็คงจะทำให้ได้คะแนนเพิ่มขึ้น หากไม่สนับสนุนก็อาจจะทำให้คะแนนลดลง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา หากไม่นำเวลาราชการมาหาเสียง ส่วนเราเองไม่กังวล ส่วนที่มีปัญหาเรื่องความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะพิจารณา ส่วนเรื่องการหาเสียงของสุดท้ายเราก็ไม่ได้กังวล คงลุยหาเสียงกันอย่างเต็มที่ 
“แล้วแต่บุคคล เพราะการดีเบตเป็นเพียงแค่การตอบคำถามช่วงสั้นๆ ซึ่งผมก็เคารพการตัดสินใจของท่าน หากท่านไม่ถนัดดีเบตก็ไม่เป็นไร อาจจะมาให้ประชาชนสอบถามโดยวิธีการอื่นก็ได้ ผมไม่ได้มองว่าเป็นสาระสำคัญ หากมาก็ดี แต่ถ้าไม่มาเราก็เคารพทุกพรรค ไม่ใช่เฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์คนเดียว” นายชัชชาติกล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ควรร่วมดีเบตหรือไม่
จี้ กกต.เร่งส่งศาลตีความ
สำหรับความคิดเห็นถึงสถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ในการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐนั้น ยังคงมีการแสดงความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง โดยนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรสาคร พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า เลิกเถียงเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะหลายคนรวมทั้ง อ.วิษณุได้เฉลยไปแล้วว่าสถานะของ พล.อ.ประยุทธ์เกินเลยจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ เนื่องจากนอกจากตำแหน่งนายกฯ แล้ว ยังมีสถานะเป็นหัวหน้า คสช. ซึ่งเหนือส่วนราชการทั้งหมด เหนือทุกตำแหน่ง สามารถออกคำสั่งให้ทุกคนทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตามได้ แม้มีผลเลือกตั้งแล้ว หากผลการเลือกตั้งไม่เป็นที่พึงพอใจ ก็ยังสามารถสั่งการให้จัดการเลือกตั้งใหม่ได้  หากใจถึง เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นี้จึงแตกต่างจากเจ้าหน้าที่ของรัฐคนอื่นๆ ถือเป็นเจ้าหน้าที่เหนือรัฐอย่างแท้จริง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ (พ.ช.) กล่าวถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นข้าราชการการเมือง หรือเจ้าหน้าที่รัฐ ตามมาตรา 98 (12) สามารถถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ว่าการพูดของนายวิษณุไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการชี้ผิดชี้ถูก และไม่ต้องการให้เกิดทฤษฎีสมคบคิด หากเรื่องนี้สุจริตใจตั้งแต่ต้น ก็ควรให้ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไป 
“ไม่จำเป็นที่พรรคเพื่อชาติจะส่งคนไปร้องศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องนี้ เพราะมีคนอื่นทำหน้าที่แล้ว และเป็นหน้าที่ของ กกต.ที่ต้องจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว เพราะถ้าวันหนึ่งศาลวินิจฉัยชี้ขาดว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐจะทำให้การแข่งขันเป็นไปโดยไม่ชอบ ทำให้ประเทศไทยเสียหายในการใช้งบประมาณแผ่นดินจัดการเลือกตั้ง และจะทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้” นายจตุพรกล่าว และว่าถึงเพลงใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ว่า ไม่น่าตื่นเต้นอะไร เพราะความจริงควรเป็นเพลงวันใหม่ของคนไทยทั้งชาติ ไม่ใช่เพลงวันใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ 
ดร.รยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรค พ.ช. กล่าวว่า กกต.มีหน้าที่โดยตรงที่จะส่งเรื่องสถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และไม่ควรรอช้า หาก กกต.ไม่กล้าวินิจฉัย ก็จะมีคนไปแจ้งดำเนินคดีอาญา มาตรา 157 กับ กกต. ดังนั้น กกต.ควรจะเลือกว่าควรกลัวมาตรา 44 หรือกลัวถูกดำเนินคดีมาตรา 157 มากกว่ากัน
ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า ในวันพุธที่ 6 มี.ค.2562 เวลา 10.30 น. จะนำความไปร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ณ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ชั้น 9 ศูนย์ราชการ อาคาร B ถ.แจ้งวัฒนะ หลักสี่ กทม.เพื่อให้นำความเสนอต่อศาลปกครองเพื่อวินิจฉัยโดยเร็วว่าคําสั่งหรือการกระทําของ กกต.ที่ให้การรับรอง พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ นั้น เป็นการกระทำโดยชอบและคุณสมบัติ พล.อ.ประยุทธ์ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 160 (6) ประกอบมาตรา 98 (15) หรือไม่
นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรค พปชร.กล่าวว่า ขณะนี้บรรยากาศหาเสียงเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเข้มข้น ทุกพรรคการเมืองลงพื้นที่อย่างหนัก อยากจะวิงวอนให้แกนนำพรรคการเมืองบางพรรคหยุดพูดโจมตีดิสเครดิต พล.อ.ประยุทธ์ เหลือเวลาไม่ถึง 20 วันจะเลือกตั้งแล้ว น่าจะเอาเวลาไปหาเสียงดีกว่า โดยเฉพาะการนำเสนอนโยบายที่ดีให้กับประชาชน ไม่ใช่ไปเวทีไหนก็โจมตีแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมันไม่สร้างสรรค์เลย
         “ที่ร้องเรียนเรื่องคุณสมบัติของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น ผมมั่นใจว่าท่านมีคุณสมบัติถูกต้องตามกฎหมาย สามารถเป็นนายกฯ ได้ ไม่เข้าใจที่พรรคการเมืองบางพรรคร้องเรียนรายวัน มันน่าเบื่อมาก แทนที่จะเอาเวลาไปหาเสียงกับชาวบ้าน” นายธนกรกล่าว
ศาลย้ำไม่เคยวินิจฉัย
วันเดียวกัน นายประวิตร บุญเทียม ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด ในฐานะโฆษกศาลปกครอง ตอบกรณีคำนิยามเจ้าหน้าที่รัฐจากกรณีวิพากษ์วิจารณ์ว่าตำแหน่งหัวหน้า คสช. ว่าศาลปกครองมีกฎหมายของตัวเองคือพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง ดังนั้นการที่ศาลปกครองจะพิจารณาต้องเป็นความหมายเจ้าหน้าที่รัฐตามกฎหมายศาลปกครองเท่านั้น หากเป็นกรณีการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองจะไม่รับฟ้อง ซึ่งนิยามความหมายเจ้าหน้าที่รัฐมีอยู่ในกฎหมายต่างๆ แล้ว แต่ลักษณะของการใช้อำนาจ ไม่ใช่เรื่องที่ระบุไว้ชัดเจนเพียงประการเดียวว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะมีลักษณะเป็นอย่างไร ต้องไปดูตามเหตุของการใช้อำนาจนั้น และหากเป็นการใช้อำนาจที่เกี่ยวกับองค์กรอื่นศาลปกครองก็ไม่อาจตอบแทนได้ ซึ่งกรณีดังกล่าวก็เป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต. แต่หากมีคดีเข้ามาสู่ศาลปกครอง จึงจะวินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาเคยมีการฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนประกาศและคำสั่ง คสช.นั้น ศาลปกครองเคยวินิจฉัยคำว่าเจ้าหน้าที่รัฐในกรณีดังกล่าวหรือไม่ นายประวิตรกล่าวว่า มีการฟ้องจริง แต่เป็นกรณีเช่นเจ้าหน้าที่ออกคำสั่งทางปกครองโดยอาศัยประกาศและคำสั่ง คสช.ที่กำหนดนโยบายในบางเรื่องไว้เป็นพื้นฐาน ซึ่งผู้ที่ถูกออกคำสั่งและต้องปฏิบัติก็จะนำมาใช้ เช่น กรณีสถานบันเทิง เช่นนี้จะเป็นกรณีเจ้าหน้าที่รัฐตามนิยามของกฎหมายศาลปกครอง ส่วนที่ฟ้องเพิกถอนประกาศและคำสั่ง คสช.โดยตรงนั้น ศาลไม่ได้รับไว้พิจารณา เพราะเป็นการออกประกาศโดยใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญก็บัญญัติรับรองไว้ ดังนั้นที่ผ่านมาศาลปกครองจึงไม่ได้มีการวินิจฉัยเกี่ยวกับนิยามความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐของหัวหน้า คสช.
นายวชิระ ชอบแต่ง ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองภูเก็ต ในฐานะรองโฆษกศาลปกครอง กล่าวเสริมว่า ก่อนหน้านี้มีคดีที่ฟ้องเพิกถอนประกาศ คสช.ในคดี 617/2558 ซึ่งเป็นการฟ้องกรณีหัวหน้า คสช.ออกคำสั่งห้ามบุคคลกลุ่มหนึ่งออกนอกประเทศ ซึ่งศาลปกครองได้วินิจฉัยไปเลยว่าการใช้อำนาจดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงไม่ได้วินิจฉัยว่าหัวหน้า คสช.เป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ ที่เราวินิจฉัยเช่นนั้นเพราะไม่เข้าองค์ประกอบที่ว่าเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายทางปกครอง ซึ่งการเป็นคดีปกครองต้องเป็นกรณีเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจรัฐทางปกครอง
ไม่จับมือพรรคขี้โกง
สำหรับความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองต่างๆ ในการหาเสียงมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความและคลิปวิดีโอลงเฟซบุ๊กว่า ฟังกันชัดๆ จากปากอภิสิทธิ์ ถึงจุดยืนทางการเมืองที่ทุกคนอยากรู้ โดยคลิปวิดีโอจุดยืนทางการเมืองนั้นมีเนื้อหาว่า "ผมไม่มีวันจะยอมให้พรรคที่ทุจริตมานำประเทศ ไม่เอาทั้งพวกบกพร่องโดยสุจริต หรือทุจริตเชิงนโยบาย เอาเสียงของประชาชนมาหาผลประโยชน์ให้กับคนกลุ่มเดียว นายกฯ 4 คนของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยมีมลทินเรื่องทุจริต รัฐมนตรีในรัฐบาลเรามีเรื่องอื้อฉาว ทุจริต ลาออกทันที เพราะสำหรับประชาธิปัตย์ ประชาธิปไตยจะใช้การได้ ต้องสุจริตเท่านั้น หมดเวลาเกรงใจแล้วครับ"
ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ได้เข้าร่วมพิธีเปิดสาขาพรรคภาคเหนือ โดยยืนยันว่า เราไม่แจกเงิน เราไม่เน้นการแก้ปัญหาชั่วคราว เราเน้นการแก้ปัญหาจริงจังอย่างยั่งยืน เราต้องสนับสนุนให้ทุกท่านพึ่งพาตัวเอง โดยเฉพาะนโยบายด้านกัญชา เพราะพรรคมองเป็นโอกาส ใบไม้สีเขียวคือธนบัตร กัญชาไม่เคยทำร้ายใคร ใครอยากได้เราร่วมรัฐบาล ต้องรับนโยบายของเรา 
ส่วนนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค พปชร. และแกนนำพรรค และผู้สมัคร ส.ส.กทม. 30 คน พร้อมโชว์วิสัยทัศน์และนโยบาย ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะ กทม.ที่มีนโยบาย Bangkok ok 5 ด้าน โดยนายอุตตมยืนยันว่า แม้การแข่งขันใน กทม.ไม่หมู เพราะมีเจ้าของพื้นที่ แต่ก็ต้องทำให้ดีที่สุด เต็มที่ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้คน กทม.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"