นครศรีธรรมราช/ เครือข่ายประชาชนภาคใต้จัดงานสมัชชาประชาชนฯ ‘คนทุกข์ลุก-รุกสร้างสุข’ และจัดทำข้อเสนอ ‘ยุทธศาสตร์ภาคประชาชน’ เสนอต่อพรรคการเมืองเพื่อให้นำไปจัดทำเป็นนโยบายและแผนพัฒนาประเทศ เน้นยุทธศาสตร์ 4 ด้าน คือ ‘ความมั่นคงด้านชีวิต-อาหาร-เศรษฐกิจ-ชุมชนเข้มแข็ง’
ระหว่างวันที่ 4-5 มีนาคม เครือข่ายภาคประชาชนในภาคใต้ ในนาม ‘สมัชชาประชาชนภาคใต้’ ได้จัดงาน สมัชชาประชาชนภาคใต้ครั้งที่ 1 ‘คนทุกข์ ลุก-รุกสร้างสุข’ ที่ห้องประชุมเมืองสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อเป็นเวทีกลางให้ประชาชนได้เรียนรู้สถานการณ์ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นและมีผลกระทบต่อประชน ตั้งเป้าหมายให้ประชาชนกำหนดอนาคตตนเอง และยกระดับเป็นเครือข่ายเฝ้าระวังภัยคุกคามภาคใต้ รวมทั้งร่วมเสนอยุทธศาสตร์ภาคประชาชน 4 ด้าน เพื่อให้พรรคการเมืองต่างๆ นำไปจัดทำเป็นนโยบายและแผนพัฒนาประเทศต่อไป โดยมีประชาชนจากเครือข่ายต่างๆ ในภาคใต้เข้าร่วมงานประมาณ 1,000 คน
รศ.ดร.ณัฐพงษ์ จิตรนิรัตน์ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ประธานจัดงานสมัชชาประชาชนภาคใต้ฯ กล่าวว่า การพัฒนาภาคใต้ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐมุ่งเน้นสร้างการเติบโตของระบบทุนนิยมเสรีเป็นสำคัญ และได้ออกแบบเพื่อสนองการลงทุนภาคอุตสาหกรรมและบริการ ภายใต้แผนพัฒนาต่างๆ เช่น แผนพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ เขตเศรษฐกิจพิเศษ และกำลังจะมีโครงการระเบียงเศรษฐกิจเพิ่มเข้ามา รวมถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ต้องการนำไปแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานศักยภาพที่มีอยู่ของพื้นที่ และยังขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่
“แนวทางเหล่านี้จะนำไปสู่การสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม แหล่งผลิตอาหาร วิถีชีวิต วัฒนธรรม ภูมิปัญญา และการดำรงชีวิตของประชาชนที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปในที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นคือความคิดต่าง และความไม่เข้าใจกันระหว่างประชาชนด้วยกันเอง และกับภาครัฐ จะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ซึ่งจะนำไปสู่การละเมิดสิทธิชุมชน สิทธิมนุษยชน และความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งจะกลายเป็นความเหลื่อมล้ำมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน” รศ.ดร.ณัฐพงษ์กล่าว
จากสภาพปัญหาดังกล่าว เครือข่ายประชาชนภาคใต้ ซึ่งประกอบด้วย เครือข่ายองค์กรชุมชน ภาคประชาสังคม กลุ่มประเด็นปัญหา กลุ่มศิลปิน กลุ่มนักวิชาการ และสื่อมวลชนกว่า 60 เครือข่าย ได้รวมตัวกันเป็น “สมัชชาประชาชนภาคใต้” เพื่อเป็นพื้นที่กลางให้ทุกภาคส่วนได้ใช้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้หาแนวทางแก้ไขปัญหา เฝ้าระวังผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาภาคใต้ และสร้างรูปธรรมการพัฒนาที่สอดคล้องเหมาะสม และหวังที่จะสร้างยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคประชาชนอย่างยั่งยืนร่วมกันในอนาคต ซึ่งหมายถึงอนาคตที่ประชาชนจะต้องกำหนดได้เอง
“ถึงเวลาแล้วที่ภาคประชาชนต้องจับมือกันเพื่อลุกขึ้นมาดูแล ปกป้องแผ่นดินของตนเอง เราหวังว่าสมัชชาประชาชนภาคใต้ จะทำหน้าที่เป็นพื้นที่กลางให้ประชาชนมีเวที มีที่ยืน และมีตัวตนในการพัฒนาประเทศ” ประธานจัดงานกล่าว
การจัดงานในครั้งนี้ มีเวทีวิชาการ การแสดงศิลปะวัฒนธรมพื้นบ้าน รวมทั้งการร่วมกันเสนอและจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาของภาคประชาชน เพื่อนำเสนอต่อพรรคการเมืองต่างๆ ที่มาร่วมงานจำนวน 11 พรรค ให้นำไปประกอบการจัดทำนโยบายและเป็นแผนพัฒนาประเทศหลังจากที่พรรคการเมืองได้เข้าไปบริหารประเทศแล้ว ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 1 : ประชาชนภาคใต้จะต้องมีความมั่นคงในการดำรงชีวิต ดังนี้
1.เร่งรัดให้มีการออกพระราชบัญญัติโฉนดชุมชนที่ประชาชนร่วมกันยกร่าง ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้มีสิทธิในที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน บนหลักสิทธิร่วมของชุมชน รวมทั้งให้มีกลไกเพื่อแก้ปัญหาที่ดินของรัฐแต่ละประเภท โดยมีตัวแทนผู้เดือดร้อนอยู่ในกลไกดังกล่าว
2.สนับสนุนการกระจายการถือครองที่ดิน ที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยของประชาชน โดยผลักดัน พ.ร.บ.ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า, พ.ร.บ.ธนาคารที่ดิน, พ.ร.บ.โฉนดชุมชน เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงสิทธิในที่ดิน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
3. สนับสนุนให้ประชาชนทุกครัวเรือนได้มีที่อยู่อาศัย หรือพัฒนาที่อยู่อาศัยให้มีคุณภาพที่ดี โดยภาคประชาชนเข้าไปมีบทบาทสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัยในทุกกระบวนการ
4. สนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงสวัสดิการจากรัฐอย่างทั่วถึงถ้วนหน้า โดยกำหนดเป็นกฎหมายว่าด้วย “รัฐสวัสดิการ” รวมถึงการส่งเสริมบทบาทภาคประชาชนในการจัดสวัสดิการด้วยตนเอง ฯลฯ
5. กำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยเขตคุ้มครองทางวัฒนธรรมชาติพันธุ์ชาวเลและชนเผ่าพื้นเมือง เพื่อแสดงถึงความจริงใจในการแก้ปัญหากลุ่มชาติพันธ์ที่กำลังถูกรุกรานจากการท่องเที่ยว และจากการพัฒนาที่ไม่เหมาะสม
ยุทธศาสตร์ที่ 2 : สร้างความมั่นคงทางอาหาร
1.ต้องยุติ เพื่อทบทวน และยกเลิกโครงการพัฒนาที่ส่งผลกระทบสภาวะอากาศ พื้นที่แหล่งผลิตอาหาร และวิถีชีวิตชุมชน เช่น โรงงานผลิตไฟฟ้าถ่านหิน โครงการท่าเรือน้ำลึก โครงการสร้างเขื่อน รวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษและโครงการระเบียงเศรษฐกิจ เป็นต้น
2.ส่งเสริมและสนับสนุนองค์กรชุมชนให้มีการอนุรักษ์ พื้นฟู และเฝ้าระวังทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน ซึ่งถือเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารและยาตามธรรมชาติ โดยจัดทำแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน 3.ยกเลิกการใช้สารเคมีทางการเกษตรที่ส่งผลกระทบต่อแวดล้อมและเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งคนและสัตว์4.สนับสนุนระบบเกษตรกรรมยั่งยืนให้กับชาวสวนยาง สวนปาล์ม สวนผลไม้ และนาข้าว 5.คุ้มครองสิทธิด้านเมล็ดพันธุ์ และพันธุ์ไม้พื้นเมือง ฯลฯ
ยุทธศาสตร์ที่ 3 : ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากบนฐานศักยภาพท้องถิ่น
1. ประกาศเรื่องเกษตรอินทรีย์ให้เป็นวาระแห่งชาติ และต้องกำหนดมาตรการส่งเสริมอย่างเป็นรูปธรรมให้ครอบคลุมพื้นที่ภาคใต้ รวมถึงการพัฒนาพันธุกรรม ส่งเสริมปัจจัยการผลิต การแปรรูปที่ได้มาตรฐาน จัดหาตลาด และให้เกษตรรายย่อยเข้าถึงการอุดหนุนจากรัฐอย่างทั่วถึง
2. พัฒนาระบบวิสาหกิจชุมชน จัดกลไกการสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงต้องบูรณาการระหว่างหน่วยงานเพื่อส่งเสริมและยกระดับวิสาหกิจของชุมชนอย่างเป็นระบบในทุกด้าน เช่น ด้านการท่องเที่ยวโดยชุมชน ด้านการจัดการผลิต ฯลฯ โดยให้ความสำคัญต่อการสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่สอดคล้องกับฐานทรัพยากรและวิถีวัฒนธรรมท้องถิ่น
3. แก้ไขกฎหมายพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 มาตราที่ส่งผลกระทบกับทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และวิถีการประกอบอาชีพของประมงพื้นบ้าน รวมถึงการรับรองการจดทะเบียนเรือชาวประมงพื้นบ้านทุกประเภท และทุกพื้นที่ 4.ยกเลิกเครื่องมือประมงที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อทรัพยากรสัตว์น้ำวัยอ่อน โดยเฉพาะเรืออวนลาก เรือปั่นไฟ และต้องประกาศการปิดอ่าวในฤดูปลาวางไข่ทุกพื้นที่ 5. สนับสนุนแนวคิดธนาคารต้นไม้ โดยต้นไม้ที่ประชาชนปลูกถือเป็นสิทธิและทรัพย์สินที่สามารถกำหนดเป็นมูลค่า ซึ่งรัฐจะต้องจัดตั้งองค์กรเพื่อการจัดการในลักษณะกองทุนธนาคารต้นไม้ ฯลฯ
ยุทธศาสตร์ที่ 4 : ด้านการส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนและภาคประชาสังคม
1.ส่งเสริมให้เกิดความเข้มแข็งของการเมืองภาคพลเมือง เพื่อเป็นการสร้างฐานรากการเมืองในระบบประชาธิปไตยให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น
2.ฟื้นฟูกลไกของภาคประชาชนที่ถูกเทรกแซง ถูกลดบทบาท หรือถูกยกเลิกไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา และต้องออกแบบเพื่อนำไปสู่การส่งเสริมขบวนการของภาคประชาชน หรือภาคประชาสังคมอย่างแท้จริง และจะต้องให้ความสำคัญกับบทบาทของภาคประชาชนในการกำหนดแผนการพัฒนาในระดับชุมชน จนถึงแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติที่ไม่แค่เพียงการเข้าร่วม หากแต่จะต้องมีส่วนร่วมในทุกระดับ
3.จัดให้มีกองทุนภาคประชาสังคม ที่ทำหน้าที่สนับสนุนขบวนการองค์กรชุมชนเพื่อการจัดการชุมชนท้องถิ่นของตนเองได้ในทุกมิติ ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ด้านเศรษฐกิจ การจัดการผลผลิต การท่องเที่ยวชุมชน การรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมของผู้สูงอายุ เยาวชน ผู้หญิง และการพัฒนาระบบสุขภาวะ การจัดการภัยพิบัติของชุมชน และอื่นๆ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการรวมกลุ่มของประชาชนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
นอกจากนี้สมัชชาประชาชนภาคใต้มีความเห็นว่า ปัจจัยที่จะทำให้ข้อเสนอดังกล่าวบรรลุผลสำเร็จได้นั้นจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานการเมืองในระบบประชาธิปไตย ที่ฝ่ายการเมืองจะต้องส่งเสริมให้การเมืองภาคพลเมืองมีความเข้มแข็งมากขึ้น มีการบริหารประเทศแบบการกระจายอำนาจที่เป็นการลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน โดยต้องแก้ไขกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม และไม่เอื้อต่อการปฏิบัติ และจะต้องคำนึงถึงกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนอย่างแท้จริงในทุกระดับขั้นตอน ซึ่งพรรคการเมืองที่ได้เป็นรัฐบาลจะต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงที่จะนำข้อเสนอนี้ไปสู่การปฏิบัติ
ทั้งนี้เพื่อให้ข้อเสนอดังกล่าวมีการนำไปสู่การปฏิบัติและดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม สมัชชาประชาชนภาคใต้จึงมีมาตรการขับเคลื่อนต่างๆ เช่น 1.หลังการเลือกตั้งไม่เกิน 3 เดือน สมัชชาประชาชนภาคใต้จะจัดให้มีการประชุมอีกครั้งหนึ่ง และจะเชิญตัวแทนรัฐบาลเข้าร่วมการประชุม เพื่อถามถึงแนวนโยบายและแนวทางการนำข้อเสนอดังกล่าวสู่การปฏิบัติ
2.จัดให้มีกลไกการขับเคลื่อน และติดตามข้อเสนอร่วมกันระหว่างตัวแทนของสมัชชาประชาชนฯ กับผู้แทนของรัฐบาล 3.สมัชชาประชาชนฯ จะจัดให้มีการประชุมคณะทำงานสมัชชาฯทุกปี เพื่อจัดทำรายงานประเมินผลการดำเนินงาน การทบทวนและสร้างข้อเสนอใหม่ที่ทันต่อสถานการณ์ปัญหาเพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลและนำไปสู่การแก้ไขต่อไป
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |