ทรัมป์-คิม: รักแล้วรอหน่อย


เพิ่มเพื่อน    

    ทั้งสองคนบอกว่ายังรักกันอยู่ แต่สื่อสารกันผิดพลาด ก่อนจะเจอกันรอบที่ 3 ต้องฟังความกันให้รู้เรื่องก่อน
    ทรัมป์อ้างว่าคิมต้องการให้มะกันยกเลิกมาตรการแซงก์ชัน "ทั้งหมด" และตัวเองพร้อมจะรื้อถอนสถานีวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ "ยองเปียน" 
    คิมสั่งรัฐมนตรีต่างประเทศ Ri Yong Ho และรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศ Choe Son Hui เปิดแถลงข่าวหลังเที่ยงคืน (ไม่กี่ชั่วโมงหลังทรัมป์บินจากฮานอยกลับบ้าน) อ้างว่า
    "เราขอให้มีการยกเลิกแซงก์ชันบางส่วนที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของประชาชนเท่านั้น ไม่ได้ขอให้ยกเลิกทั้งหมด” คือคำประกาศจากรัฐมนตรีต่างประเทศ
    (ข้อสังเกตของผม: คิมไม่ได้ส่ง Kim Yong Chol ซึ่งเป็นมือขวาด้านการเจรจากับมะกันมาแถลงข่าว แต่ส่งรัฐมนตรีต่างประเทศมาเจอนักข่าว คงหวังว่ายังต้องใช้มือเจรจาทำงานกับมะกันต่อ แยกเรื่องเจรจาจากหน้าที่กระทรวงต่างประเทศ เหมือนที่ทรัมป์ใช้ Stephen Beigun เป็นคนเจรจานอกเหนือจากรัฐมนตรีต่างประเทศ Mike Pompeo)
    ตกลงคิมพูดผิดหรือทรัมป์ฟังผิด? 
    ทำไมทั้งสองไม่ออกมาแถลงข่าวพร้อมกัน จะได้เปรียบมวยกันให้ชัดๆ
    แต่คิมก็มาพร้อมที่จะยอมถอยก้าวใหญ่
    คิมบอกว่าพร้อมที่จะรื้อถอนสถานีทดลองนิวเคลียร์ที่ยองเปียน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาอาวุธร้ายแรงของเกาหลีเหนือมาตลอด
    อีกทั้งยังรับปากว่าจะให้ผู้สังเกตการณ์ของอเมริกาเข้าไปตรวจสอบว่าทำตามที่ตกลงกันหรือไม่
    ไม่แต่เท่านั้น คิมยังบอกทรัมป์ว่าพร้อมที่จะระงับการพัฒนาแร่ยูเรเนียมและพลูโตเนียมเพื่อหยุดยั้งการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ต่อไป
    แต่ทรัมป์บอกว่าเรื่องขอให้ยกเลิกแซงก์ชันทั้งหมดนั้น "มากไป เร็วไป"
    และที่คิมเสนอรื้อ "ยองเปียน" แห่งเดียวนั้น "น้อยไป ช้าไป"
    ทรัมป์ยังเอาหลักฐานแสดงให้คิมดูว่าข่าวกรองมะกันมีข้อมูลว่า เกาหลีเหนือมีจุดทดลองนิวเคลียร์อีกหลายแห่ง และบางแห่งก็ยังไม่เคยได้รับการเปิดเผยจากฝั่งของคิม
    คิมทำสีหน้าหรือตอบอย่างไรไม่ปรากฏ แต่บรรยากาศคงจะเริ่มตึงเครียด
    เพราะทรัมป์เดินออก (ทรัมป์ใช้คำว่า Walk ไม่ใช่ Walkout แปลว่าไม่ใช่การประท้วง แต่เป็นการเดินออกกะทันหัน เสียมารยาท แต่ก็เป็นลีลาทางการทูตสไตล์ทรัมป์ เหมือนต่อรองราคากับแม่ค้า ทำเป็นเดินหนีไปเผื่อแม่ค้าจะยอม แต่น้องคิมไม่ได้อ้อนวอนให้พี่ทรัมป์กลับมาคุยต่อเสียด้วย)
    อาหารเที่ยงที่เตรียมไว้ (มี "ปลาหิมะ" จานพิเศษเสียด้วย) จึงต้องทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย
    โดยมารยาทของคนเอเชีย การไม่ยอมกินข้าวด้วยกันนี่ต้องถือว่าไม่รักษาไมตรีในยามที่บรรยากาศกำลังตึงเครียดกันเลยทีเดียว
    รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศ Choe Son Hui บอกกับนักข่าวหลังจากตัวรัฐมนตรีต่างประเทศแถลงอย่างเป็นทางการเสร็จว่า
    "ฝ่ายสหรัฐฯ เสียโอกาสมากที่ไม่ยอมทำข้อตกลง เพราะโอกาสอย่างนี้อาจจะไม่กลับมาอีก มันเป็นโอกาสครั้งเดียวในหนึ่งพันปี"
    เขายืนยันว่าแม้จะเจรจากันอีก เปียงยางก็จะไม่เปลี่ยนจุดยืน
    ทรัมป์ถูกถามว่าจะมีการประชุมสุดยอดรอบที่ 3 กับคิมไหม?
    เขาเลี่ยงไปตอบว่า "อาจจะมีหรืออาจจะไม่มีอีกนานก็ได้..."
    ถามว่าทำไมทรัมป์เดินออกอย่างกะทันหัน ทำไมไม่ต่อรองกับคิม เช่นยื่นหมูยื่นแมวกันใหม่...ให้คิมยอมเพิ่มจุดพัฒนานิวเคลียร์ที่จะทำลาย แลกกับการผ่อนคลายแซงก์ชันบางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมด?
    เดาใจทรัมป์ยาก พอๆ กับที่ไม่อาจจะประเมินอารมณ์ของคิมในจังหวะที่โดนทรัมป์ "เท" ต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นได้
    แต่ที่แน่ๆ ก็คือทั้งสองฝ่ายจะต้องกลับไปตั้งหลักใหม่ 
    เหมือนเล่นหมากรุก ล้มเกมที่กำลังเล่นกันอยู่ เริ่มเกมใหม่ 
    รอบนี้ต่างฝ่ายต่างรู้เท่าทันกันพอสมควรแล้ว แต่ละก้าวย่างจึงตื่นเต้นเร้าใจยิ่ง!


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"