"ประยุทธ์" เปลี่ยนสถานะจากเจ้าหน้าที่รัฐเป็นบุคคลสาธารณะ ขณะที่ กกต.ไฟเขียวให้เดินช่วยผู้สมัคร พปชร.หาเสียงได แต่พึงระวังการใช้ตำแหน่งหน้าที่เป็นคุณเป็นโทษกับผู้สมัครและพรรคการเมือง “อุตตม” เฮ! กกต.ชี้มีคุณสมบัติครบถ้วน รับหากยุบ ทษช.บัตรเสียพุ่งแน่ เตือนบรรดาขาร้องดูข้อมูลให้ดี เพราะไร้มูลผิดหมิ่นประมาท-เช็กบิลภายหลัง “บุญถาวร” ยื่นยุบอนาคตใหม่ข้องใจทำภารกิจคณะราษฎรให้สำเร็จคืออะไร “พรรคเพื่อนไทย” ปลิวแล้วศาลฎีกาชี้ไม่มีการจัดตั้งสาขาและตัวแทนพรรคจริง ส่งผลผู้สมัคร ส.ส.ทั้ง 2 ระบบ 206 คนตายก่อนเลือกตั้ง
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ มีความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งได้ปฏิบัติภารกิจอยู่ภายในทำเนียบรัฐบาล โดยไม่มีกำหนดการภายนอกแต่อย่างใด แต่ในเวลา 13.50 น. พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินทางออกจากทำเนียบฯ ซึ่งคนใกล้ชิดแจ้งว่า พล.อ.ประยุทธ์ไปทำภารกิจส่วนตัว
ขณะเดียวกัน เป็นที่น่าสังเกตว่าเพจเฟซบุ๊กประยุทธ์ จันทร์โอชา prayut chan-o-cha ของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เปลี่ยนสถานะตัวเองจากเจ้าหน้าที่รัฐ มาเป็นบุคคลสาธารณะ ซึ่งคาดว่าเพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาที่วิจารณ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ขาดคุณสมบัติการถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ตามที่นายเรืองไกรยื่นร้องต่อ กกต. ส่วนในอินสตาแกรมของ พล.อ.ประยุทธ์ วันนี้ได้โพสต์ภาพสุนัขตัวโปรดพันธุ์บูลด็อก โดยระบุว่า “เสือมาส่ง”
ช่วงค่ำวันเดียวกัน มีรายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีการพิจารณาหนังสือของนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ที่สอบถาม กกต.ในประเด็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค จะสามารถขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงได้หรือไม่ และ พล.อ.ประยุทธ์จะสามารถเดินช่วยผู้สมัครของพรรคหาเสียงได้หรือไม่ ซึ่ง กกต.ได้พิจารณาข้อกฎหมายแล้วมีมติว่าสามารถทำได้ โดยเป็นไปตามระเบียบว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียง แต่ขอให้พึงระมัดระวังในเรื่องของการใช้ตำแหน่งหน้าที่เป็นคุณเป็นโทษกับผู้สมัครและพรรคการเมือง ซึ่งคาดว่า กกต.จะมีหนังสือตอบกลับไปยังพรรคพลังประชารัฐในสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ หนังสือหารือของพรรค พปชร.ก็ไม่มีการสอบถามในเรื่องว่า พล.อ.ประยุทธ์จะสามารถขึ้นดีเบตในฐานผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคได้หรือไม่ด้วย
ที่ จ.นครราชสีมา นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวระหว่างช่วยผู้สมัครหาเสียงตอนหนึ่งว่า พรรคพลังประชารัฐจะมาโคราชจนกว่าคนโคราชจะเลือกพรรคยกจังหวัด ที่สำคัญที่สุดหากท่าน พล.อ.ประยุทธ์สามารถปราศรัยได้ เราก็อยากเรียนเชิญท่านมาพบปะและปราศรัยให้พี่น้องชาวโคราชด้วยตัวเอง
ด้าน พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต.กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องการยุบพรรค พปชร. กรณีเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ ทั้งที่ขาดคุณสมบัติ และการจัดโต๊ะจีนระดมทุนของพรรค พปชร.ว่า อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองใกล้จะเสนอต่อ กกต.พิจารณา ส่วนกรณีการระดมทุนนั้น ไม่ใช่การตรวจสอบเพื่อนำไปสู่การยุบพรรค เป็นการตรวจสอบว่าเงินที่ได้รับจากการระดมทุนนั้นมีเอกสารครบถ้วนถูกต้อง และรับมาจากผู้บริจาคที่สามารถบริจาคได้ตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ แต่เราจะไม่ไปตรวจสอบว่าผู้ที่แจ้งความประสงค์จะสนับสนุนแล้วไม่สนับสนุนเป็นเพราะเหตุใด เป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติหรือไม่ จะตรวจสอบเฉพาะได้เงินสนับสนุนมาเท่าไหร่ มีเอกสารยืนยันถูกต้องหรือไม่เท่านั้น
ยุบ ทษช.บัตรเสียอื้อแน่
“กรณีการร้องว่านายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค พปชร. ขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค เนื่องจากเป็นหัวหน้าพรรคก่อนการสมัครเป็นสมาชิกพรรคขัดต่อข้อบังคับพรรค และกฎหมายพรรคการเมืองนั้น กกต.ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและกฎหมายแล้ว มีมติว่านายอุตตมมีคุณสมบัติครบถ้วน และได้มีการแจ้งให้ผู้ร้องทราบแล้ว” พ.ต.อ.จรุงวิทย์กล่าว
เลขาธิการ กกต.กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค ทษช. ในวันที่ 7 มี.ค. ว่าอาจส่งผลให้บัตรเสียเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากในบัตรเลือกตั้งยังมีช่องกาให้พรรค ทษช.ในเขตที่ส่งผู้สมัครอยู่ หากประชาชนไปเลือกถือว่าเป็นบัตรเสีย ซึ่งถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค ทษช. ก็ต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่าถ้าหากเลือกกาผู้สมัครของพรรค ทษช. ถือว่าเป็นบัตรเสียทันที เช่นเดียวกับผู้สมัครของพรรคอื่นๆ ที่ขาดคุณสมบัติการเลือกตั้งด้วย
เลขาธิการ กกต.กล่าวอีกว่า ขณะนี้ได้มีผู้ร้องเรียนเรื่องการเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก และอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งต้องสอบปากคำในเรื่องที่ร้อง โดยจะดูว่ามีมูลมากพอที่ตรวจสอบต่อไปได้หรือไม่ โดยอยากเตือนผู้ที่ร้องว่า ถ้าร้องในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง ก็เข้าข่ายหมิ่นประมาทด้วยความเท็จ ซึ่งมีโทษจำคุก และถ้าเรื่องที่มาร้องต่อ กกต.ไม่เป็นความจริงก็เข้าข่ายร้องเท็จอีก ซึ่งมีลักษณะนี้ทุกครั้งในการเลือกตั้ง กกต.ต้องดำเนินคดีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นก่อนมาร้องก็ต้องพิจารณาให้ดี
วันเดียวกัน ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องคดีหมายเลขดำที่ 351/2562 คดีหมายเลขแดงที่ 204/2562 ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ โดยคดีดังกล่าวนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ฟ้องคดี โดยมีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้ยื่นฟ้องขอให้ศาลปกครองเพิกถอนมติของ กกต.ในการประชุมครั้งที่ 18/2562 เมื่อวันที่ 12 ก.พ.2562 ที่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรค ทษช.
โดยศาลปกครองกลางพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ซึ่งมติในการประชุมครั้งที่ 18/2562 เมื่อวันที่ 12 ก.พ. ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรค ทษช. เป็นการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 อันถือเป็นการใช้อำนาจทางปกครองก็ตาม แต่โดยที่ พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ กกต.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมือง หากมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
7 มี.ค.สะเทือนการเมือง
1.กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2.กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 3.กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 20 วรรคสอง มาตรา 28 มาตรา 30 มาตรา 36 มาตรา 44 มาตรา 45 มาตรา 46 มาตรา 72 หรือมาตรา 74 และ 4.มีเหตุอันจะต้องยุบพรรคการเมืองตามที่มีกฎหมายกำหนด กรณีจึงถือว่าการพิจารณายุบพรรคการเมืองมีกฎหมายเฉพาะกำหนดให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ซึ่งเป็นมูลเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ศาลปกครองจึงไม่อาจรับคำฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาได้ ศาลปกครองกลางจึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ขณะที่ความเคลื่อนไหวที่พรรค ทษช.ในช่วงเช้าพบว่าไม่มีแกนนำพรรคหรือกรรมการบริหารพรรค เดินทางเข้ามายังที่ทำการพรรค มีเพียงผู้สมัคร ส.ส.ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เดินทางมายื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการลงสมัครรับเลือกตั้งให้สำนักงานพรรค และยังแสดงเจตจำนงพร้อมลงเลือกตั้งต่อไป ส่วนกิจกรรมทางการเมืองของพรรคนั้นก็ยังดำเนินต่อไป โดยช่วงเย็นมีกำหนดการลงพื้นที่พบประชาชนที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นำโดยนายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานรณรงค์หาเสียง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ กล่าวระหว่างลงพื้นที่หาเสียงที่ตลาดดินแดงและตลาดห้วยขวาง กทม. ว่าระยะเวลาถัดจากนี้ไป เราเหลือระยะเวลาอีกเพียงแค่ 24 วัน จะเป็น 24 วันที่ทรงคุณค่ามากที่สุด ณ วันนี้ประชาชนยังไม่มีคำตอบสุดท้าย เพราะสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่สะเด็ดน้ำ ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่จะเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจของประชาชนเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นคำตอบในวันที่ 7 มี.ค. เรื่องการยุบบางพรรคการเมือง ก็จะส่งผลทางการเมืองเช่นเดียวกัน
ที่สำนักงาน กกต. นายบุญถาวร ปัญญาสิทธิ์ ทีมงานประชาชนและปกป้องรัฐธรรมนูญ ยื่นหนังสือขอให้ กกต.ดำเนินการพิจารณาส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ตามมาตรา 92 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง เพราะมีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ใช้วาทกรรมที่ส่อว่ามีเจตนาดังกล่าวหลายครั้ง ตั้งแต่ปี 2554 รวมไปถึงการประกาศยกเลิกมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และล่าสุดกับคำให้สัมภาษณ์ที่ระบุว่าจะสานต่อภารกิจของคณะราษฎรให้สำเร็จ ซึ่งต้องถามนายธนาธรว่าหมายถึงอะไร
“การยื่นคำร้องครั้งนี้ดำเนินการในฐานะคนไทยที่รักประเทศ โดยใช้สิทธิตามตามมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญ โดยได้เตรียมเอกสารประกอบคำร้องยาวกว่า 20 หน้า ให้ กกต.พิจารณาด้วย ซึ่งทั้งหมดคือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และปรากฏตามสื่อมวลชน ไม่ได้ปรุงแต่งใดๆ และทราบว่าหลังจากนี้อีก 3 วัน จะมี 2 องค์กรเตรียมเข้ายื่นคำร้องให้ตรวจสอบพรรคอนาคตใหม่ในความผิดเดียวกัน โดยมีหลักฐานที่ชัดเจนกว่านี้” นายบุญถาวรกล่าว
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ออกแถลงการณ์สมาคมฯ เรื่องขอดเกล็ด 11 เหตุผลที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เหมาะเป็นนายกฯ ว่า 1.เป็นผู้นำรัฐประหารซึ่งทั่วโลกไม่ยอมรับ 2.ไม่มีความเป็นผู้นำทั้งในและต่างประเทศ เป็นตัวตลกในเวทีโลก 3.ไม่กล้าตัดสินใจในผลประโยชน์ของชาติ เช่น กรณีเขมรรุกที่ทำกินในเขตแดนไทย 4.ทำจริง ทำได้ และทำให้เห็นมาแล้วคือการเอื้อประโยชน์ให้นายทุนในเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ 5.ตัวจริงเสียงจริง ในการใช้คำสั่ง คสช.อย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่คำนึงถึงหลักประชาธิปไตย 6.เสียสละเพื่อชาติเกินไปทำให้ไทยมีหนี้สาธารณะเกือบ 7 ล้านล้านบาท 7.อ้างว่ารักประชาชน แต่นำเงินภาษีของประชาชนไปแจกคนจนหาเสียงล่วงหน้า 8.เป็นนายกฯ ที่สัมผัสไม่ได้ พึ่งไม่ได้ ทุกครั้งที่ลงพื้นที่หรือจัด ครม.สัญจร ลิ่วล้อจะกีดกันชาวบ้านไม่ให้มาร้องทุกข์ต่อหน้า ใครฝ่าฝืนก็ถูกแจ้งความผิด พ.ร.บ.ชุมนุมฯ 9.ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่ปกป้องสมบัติชาติ 10.ทำลายฐานรากประชาธิปไตยด้วยการทำรัฐประหาร และ 11.มีความเป็นมนุษย์สูงเกินไป คือ หงุดหงิดง่าย ตวาดนักข่าวหรือผู้คน ใช้ถ้อยคำผรุสวาทเสมอๆ
"พรรคเพื่อนไทย"ปลิวว่อน
“เหตุผลทั้ง 11 ข้อดังกล่าว คณะตรวจสอบการทุจริตและประพฤติมิชอบภาคประชาชน นำโดยคุณอดุลย์ เขียวบริบูรณ์, คุณรสนา โตสิตระกูล, คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล, คุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ และผู้รู้ท่านอื่นๆ ได้ร่วมกันขอดเกล็ดนำเสนอบางประเด็นให้สาธารณชนทราบมาแล้วตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสรุปได้ตรงกันว่าผิดหวังกับ คสช. และผิดหวังต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำให้การรัฐประหารที่มีธงนำเรื่องการปฏิรูปนั้นเสียของ ทำให้ประเทศเสียเวลา เสียโอกาสในการพัฒนาอย่างน่าเสียดาย” นายศรีสุวรรณกล่าว
ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ศาลฎีกามีคำพิพากษายกคำร้องในคดีที่นายอุมัธ หวังสาสุข ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 จ.ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อนไทย ยื่นฟ้องผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งที่ 1 จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อขอคืนสิทธิการเป็นผู้สมัครหลังไม่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตไม่ประกาศรายชื่อ โดยศาลเห็นว่า หนังสือแจ้งการแต่งตั้งตัวแทนประจำจังหวัดของพรรคเพื่อนไทยฉบับลงวันที่ 9 และ 28 ม.ค. ไม่ได้ลงนามโดยหัวหน้าพรรคเพื่อนไทย หรือโดยผู้ได้รับมอบอำนาจจากหัวหน้าพรรคไม่ชอบด้วย พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 35 วรรคสอง ประกอบกับประกาศนายทะเบียนพรรคการเมืองเรื่องการจัดตั้งสาขาพรรค การเปลี่ยนแปลงที่ตั้งสาขาพรรค หรือคณะกรรมการสาขาพรรคและการแต่งตั้งหรือเปลี่ยนแปลงตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด 2560 ข้อ 12 รวมทั้งนายทะเบียนพรรคการเมืองได้วินิจฉัยว่าการประชุมใหญ่พรรคเพื่อนไทยเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2561 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และแจ้งผู้เกี่ยวข้องทราบแล้ว คำวินิจฉัยดังกล่าวยังไม่ถูกเพิกถอน จึงมีผลใช้บังคับอยู่
จากเหตุผลดังกล่าวจึงถือได้ว่าพรรคเพื่อนไทยไม่ได้จัดตั้งสาขาพรรคหรือแต่งตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด จึงไม่สามารถส่งสมาชิกสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ทุกเขตเลือกตั้ง และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ดังนั้นที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งที่ 1 ฉะเชิงเทรา ไม่ประกาศรายนายอุมัธจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ทั้งนี้ จากคำพิพากษาดังกล่าวของศาลฎีกา มีผลให้ผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขตพรรคเพื่อนไทย ที่ส่งสมัครผู้สมัคร ส.ส.ทั้งสิ้น 154 เขตเลือกตั้งจะไม่ได้รับการคืนสิทธิให้เป็นผู้สมัคร ขณะเดียวกันในส่วนของผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ 52 คน ที่ก่อนหน้านี้ กกต.ประกาศรับรองให้เป็นผู้สมัคร กกต.ก็ต้องประกาศถอนบัญชีผู้สมัครของพรรคเพื่อนไทยออก โดยพรรคเพื่อนไทยมีนายสิระ พิมพ์กลาง อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) สกลนคร เป็นผู้ก่อตั้งพรรคและดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค แต่ภายหลังมีความขัดแย้งกับนายอนุวัฒน์ วิกัยพัฒน์ ซึ่งอ้างตนเป็นหัวหน้าพรรคเช่นเดียวกัน จนไม่รู้ว่าใครคือหัวหน้าพรรคตัวจริงกันแน่.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |