โลกกำลังป่วนอีกรอบ...ขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ กับคิม จองอึน พบปะเจรจาสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลีที่กรุงฮานอย อินเดียกับปากีสถานก็เปิดศึกกลางเวหา สร้างความตึงเครียดระดับสากลขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ที่น่าหวาดเสียวคือ การเผชิญหน้าระหว่างอินเดียกับปากีสถานครั้งนี้เป็นการขยับเข้าใกล้สงครามเต็มรูปแบบที่สุดใน 20 ปี
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ กลุ่มติดอาวุธ “จาอิช-อี-โมฮัมหมัด” (JeM) จากปากีสถานบุกเข้าพูลวามา ซึ่งเป็นดินแดนแคชเมียร์ในส่วนที่อยู่ในการควบคุมของอินเดีย ก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตาย สังหารเจ้าหน้าที่กองกำลังตำรวจกึ่งทหารที่เรียกว่า para-military เสียชีวิต 46 นาย
อินเดียตอบโต้ด้วยการส่งเครื่องบินรบเข้าถล่มฐานที่มั่นของกลุ่มติดอาวุธนี้ในแคชเมียร์ส่วนที่อยู่ในเขตปากีสถาน
ปากีสถานสอยเครื่องบินรบของกองทัพอากาศอินเดียร่วง 2 ลำ หนึ่งในสองลำตกลงในเขตแดนของปากีสถาน นักบินถูกจับ
อินเดียบอกว่าเครื่องบินรบของตนตกไปหนึ่งลำ และนักบินหายไปหนึ่งคน
บรรยากาศร้อนฉ่าขึ้นทันที ร้อนถึงจีนซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทั้งสองประเทศต้องออกมาขอให้ใจเย็นๆ ตั้งสติหน่อย
ที่น่ากลัวเพราะทั้งอินเดียและปากีสถานต่างก็มีอาวุธนิวเคลียร์
รัฐบาลปากีสถานออกมาปฏิเสธความเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่อินเดียบอกว่าปากีสถานมีส่วนโดยตรงในการโจมตีครั้งนี้
อีกทั้งอินเดียยังเชื่อว่าปากีสถานให้ที่พักพิงแก่กลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้
นายกฯ ปากีสถาน อิมราน ข่าน ออกมาเรียกร้องให้อินเดียพูดจาหาทางออกร่วมกัน “อย่างรับผิดชอบ” ประโยคนี้ของผู้นำปากีสถานมีความหมาย
“อาวุธที่พวกเขามี และอาวุธที่เรามี เราจะรับมือกับการคำนวณที่ผิดพลาดได้หรือ?”
คำว่า “คำนวณผิดพลาด” หรือ miscalculation มีความหมายว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประเมินอีกฝ่ายหนึ่งต่ำไป หรือผิดพลาดไป อาจจะนำไปสู่สงครามที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้
(“With the weapons you have and the weapons we have, can we afford miscalculation? Shouldn’t we think that if this escalates, what will it lead to?”)
ที่น่าเป็นห่วงคือนี่เป็นการโจมตีทางอากาศข้ามเส้นแบ่งเขตหยุดหยิง หรือ Line of Control ครั้งแรกตั้งแต่สองประเทศทำสงครามกันในปี 1971
อินเดียกับปากีสถานต่างอ้างสิทธิเหนือดินแดนแคชเมียร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี 1947
ทั้งสองชาติเคยทำสงครามกันมาแล้ว 3 ครั้ง และมีความขัดแย้งกันมาตลอด
ความรู้สึกบาดหมางของสองประเทศนี้ร้าวลึกไม่น้อย เพราะต่างก็ถือศักดิ์ศรี ไม่ยอมให้อีกประเทศหนึ่งมาเหยียบย่ำเกียรติภูมิของตน
อีกทั้งผู้นำของอินเดียกับปากีสถานต่างก็ไม่อาจจะมีภาพลักษณ์ของความอ่อนแอต่อเพื่อนบ้านที่แก่งแย่งบารมีกันมาตลอดเวลากว่า 70 ปี
ยิ่งนายกฯ นรินทรา โมดี กำลังจะลงสมัครแข่งขันให้ได้เป็นนายกฯ อีกหนึ่งสมัยในเร็วๆ นี้ ก็ยิ่งทำให้เขาไม่อาจจะยอมให้คนอินเดียมองเขาว่ายอมซูฮกปากีสถาน
สองประเทศนี้ตกลงหยุดยิงในปี 2003 หลังจากเกิดเหตุนองเลือดยืดเยื้อยาวนานในพื้นที่ตามแนวพรมแดนที่เป็นสัญลักษณ์ของเส้นแบ่งเขตหยุดยิง หรือ Line of Control
ปากีสถานยอมรับปากว่าจะหยุดสนับสนุนด้านการเงินให้แก่กลุ่มติดอาวุธที่มีฐานที่มั่นในปากีสถาน
อินเดียเสนอนิรโทษกรรมให้กลุ่มติดอาวุธ หากไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มติดอาวุธอีก
แต่เหตุร้ายก็เกิดอย่างต่อเนื่อง อินเดียกล่าวหากลุ่มที่อยู่ในปากีสถานหลายกลุ่มว่าที่ถล่มฐานทัพอากาศในเมืองปาทานโคตในรัฐปัญจาบทางเหนือ
และเมื่อปี 2008 เกิดเหตุก่อการร้ายครั้งรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาเมื่อกลุ่มก่อการร้ายข้ามจากฝั่งปากีสถานมาโจมตีมุมไบหลายๆ จุดพร้อมๆ กัน
อินเดียตอบโต้อย่างรุนแรง และความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกันระหว่างสองประเทศก็ขาดสะบั้นลง
...จนเกิดเหตุล่าสุดที่นำไปสู่ศึกกลางอากาศครั้งนี้
ขณะที่ผมเขียนอยู่นี้ ความตึงเครียดยังอยู่ในระดับสูง ไม่มีกลไกระหว่างประเทศใดสามารถจะไกล่เกลี่ยสองประเทศนี้ได้
อยู่ที่ผู้นำสองชาติจะตระหนักเพียงใดว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด” ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจะไม่มีอะไรมาระงับยับยั้งได้เลย!.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |