ซัมมิตครั้งที่ 2 ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และคิม จองอึน เปิดฉากที่กรุงฮานอยเมื่อวันพุธ ด้วยการนั่งเจรจากันสั้นๆ แล้วต่อด้วยดินเนอร์ ก่อนจะประชุมสุดยอดกันอีกครั้งในวันพฤหัสบดี ทั้งสองให้คำมั่นซัมมิตครั้งนี้ต้องดีกว่าครั้งที่แล้ว

ภาพ AFP

    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ และประธานคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ พบกันอีกครั้งในรอบ 8 เดือนนับแต่ซัมมิตครั้งแรกที่สิงคโปร์เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ทรัมป์คาดการณ์ไว้ว่า ซัมมิตที่โรงแรมโซฟิเทลเลเจนด์เมโทรโพลกรุงฮานอยวันพุธและพฤหัสบดีนี้จะเป็นการประชุมสุดยอดที่ "ประสบความสำเร็จมาก"

    ผู้นำทั้งสองพบหน้าและจับมือกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเบื้องหน้าธงชาติของสหรัฐและเกาหลีเหนือ ก่อนจะตอบคำถามผู้สื่อข่าวสั้นๆ แล้วนั่งลงสนทนากันแบบตัวต่อตัว โดยกำหนดการวางไว้ว่าใช้เวลาราว 20 นาที ตามด้วยการรับประทานมื้อค่ำพร้อมกับเจ้าหน้าที่ติดตาม การประชุมเจรจาต่อรองจะเกิดขึ้นอีกครั้งในวันพฤหัสบดี

    ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวก่อนเจรจากับคิมว่า เขาเชื่อว่าการเจรจาจะประสบความสำเร็จมาก และเมื่อถูกถามว่าเขาจะเปลี่ยนใจเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์หรือไม่ ทรัมป์ตอบว่าไม่ ส่วนกรณีการประกาศยุติสงครามเกาหลีอย่างเป็นทางการ ซึ่งเกาหลีเหนือเรียกร้องมาช้านานนั้น ผู้นำสหรัฐบอกว่าให้รอดู

    ก่อนเริ่มซัมมิต ทรัมป์แสดงท่าทีว่าเขาพร้อมจะยืดหยุ่นมากขึ้น โดยบอกว่าเขาไม่รีบร้อนขอให้เกาหลีเหนือรับประกันการปลดอาวุธนิวเคลียร์

ภาพ AFP

    ซัมมิตที่สิงคโปร์ครั้งที่แล้วโดนวิจารณ์ว่าแทบไม่มีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม แต่ในครั้งนี้ ทรัมป์รับปากว่า ซัมมิตที่ฮานอยจะเทียบเท่าหรือดีกว่าซัมมิตครั้งแรก ส่วนคิมกล่าวว่า เขามั่นใจว่าครั้งนี้จะให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมเป็นที่พอใจแก่ทุกคน

    ก่อนหน้าที่จะพบเจอกัน ทรัมป์ได้ทวีตหยอดคำหวานว่า เกาหลีเหนือมีศักยภาพทางเศรษฐกิจอันยอดเยี่ยม หากคิม เพื่อนของเขา เห็นด้วยกับการปลดอาวุธ โดยเขายกตัวอย่างเวียดนาม ว่าเกาหลีเหนือสามารถเจริญรอยตามได้อย่างรวดเร็ว ประเทศคอมมิวนิสต์แห่งนี้เคยมีความขัดแย้งกับสหรัฐอย่างยาวนาน แต่หลังจากได้พัฒนาความสัมพันธ์ ตอนนี้เวียดนามเป็นประเทศคู่ค้าที่เจริญรุ่งเรืองของสหรัฐ

    การมาซัมมิตครั้งนี้ทรัมป์อาจมีปัญหารบกวนสมาธิจากเรื่องอื้อฉาวในกรุงวอชิงตัน ไมเคิล โคเฮน อดีตทนายส่วนตัวของเขาเตรียมขึ้นให้การต่อคองเกรสและจะกล่าวโจมตีทรัมป์ว่าเป็น "นักหลอกลวง" ผู้สื่อข่าวได้ถามทรัมป์เรื่องนี้ด้วย แต่เขาเพียงส่ายศีรษะไม่ตอบ.