ตอกฝาโลงดีเบต “ประยุทธ์” ประกาศชัดไม่กลัว ไม่โกรธ ปวดหัวเสียเวลา ชี้เวทีมีแต่ประดิดประดอยถ้อยคำไม่มีสารัตถะ ชี้วิสัยทัศน์แสดงมาแล้ว 5 ปี “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สวนพวกวิจารณ์ผลงานว่ามีแต่สิ่งอนุมัติไว้แล้วว่าต้องวัดว่าใครทำให้ปฏิบัติได้จริงถึงเจ๋ง เตือนลืมเหตุการณ์ก่อน 22 พ.ค.2557 หมดแล้วหรือจ๊ะ เด็ก “ตระกูลเพื่อ” พร้อมใจอัดน่าอับอาย “ก่อแก้ว” เหิมซัดสมองกลวง อนาคตใหม่โป๊ะแตก “นักวิชาการ-พรรคคนธรรมดา” รุมซัดบิดเบือนข้อมูลหาเสียง
เมื่อวันอังคาร ยังคงมีความต่อเนื่องในกรณีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ทำหนังสือสอบถามคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถึงแนวทางปฏิบัติที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สามารถขึ้นประชันวิสัยทัศน์ (ดีเบต) และช่วยหาเสียงผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคได้หรือไม่ โดย พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ยอมรับว่า มีหนังสือสอบถามเข้ามาจริง แต่ต้องรอมติ กกต.ก่อน ซึ่ง กกต.จะพิจารณาจากกฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้อง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์มีหลายสถานะ
ขณะที่ในช่วงเช้าก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม นำคณะเข้าพบเพื่อประชาสัมพันธ์การรณรงค์ส่งเสริมจังหวัดเพชรบุรี ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ให้ความสนใจ โดยเฉพาะ CE Toy ตุ๊กตาประดิษฐ์ด้วยมือ ซึ่งนายกฤษดากร อินกงราช ช่างเมืองเพชร ได้มอบตุ๊กตา CE Toy หน้าเหมือน พล.อ.ประยุทธ์สวมชุดลายพรางทหารให้ โดย พล.อ.ประยุทธ์หยิบตุ๊กตาขึ้นมาเล่น แล้วเขย่าหันไปทางกลุ่มผู้สื่อข่าวพร้อมหยอกล้ออย่างอารมณ์ดีว่า “สวัสดี สวัสดี” ก่อนเขย่าตุ๊กตาอีกครั้ง และพูดหยอกอีกว่า “เดี๋ยวก็ถามทุกวันว่าจะไปดีเบตหรือเปล่า อืม ผมพูดทุกวันอยู่แล้ว”
ภายหลังประชุม ครม. ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ได้ระบุว่า คำถามของสื่อแต่ละคำถามเจ็บๆ ทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะนักข่าวก็ทำงานไป เราก็มีงานของเรา จากนั้นผู้สื่อข่าวถามว่าได้เห็นหนังสือประชารัฐสร้างชาติของพรรค พปชร.แล้วหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า เห็นแล้ว เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องจริงของนายกฯ ทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ทราบว่ามีการแจกเฉพาะผู้สมัคร ส.ส.และสมาชิกพรรค ส่วนที่พรรค พปชร.ได้เสนอชื่อเป็นนายกฯ ก็เป็นเรื่องของพรรค
เมื่อถามว่า ได้เตรียมตัวขึ้นเวทีดีเบตกับแคนดิเดตนายกฯ พรรคอื่นแล้วหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เตรียมตัวมานานแล้ว แต่วันนี้ไม่เห็นความจำเป็นที่จะไปดีเบต ไม่ใช่กลัวหรือไม่กลัว แต่เมื่อดูเวทีดีเบตตอนนี้ ก็จะเห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะส่วนใหญ่โจมตีกัน ไม่ค่อยมีสารัตถะ เถียงกันในตอนต้น แต่เมื่อเข้าสู่นโยบาย กลับไม่มีใครสนใจอะไร เนื้อหาก็ดิ้นกับการโจมตีคนนั้นคนนี้ เล่นไปถึงการทำงานของกระทรวงต่างๆ ซึ่งไม่เรียกว่าการดีเบต
“ขอให้ไปดูในต่างประเทศ ว่าเวทีดีเบตเป็นอย่างไร ผมคงไม่ไปหรอกตอนนี้ ไม่ว่าใครจะมากระตุ้นอย่างไร ผมก็ไม่ได้โกรธ ไม่ได้กลัวด้วย ข้อสำคัญคือผมกำลังทำงานอยู่ ซึ่งจะเสียเวลา ที่ผมต้องไปประดิดประดอยคำพูดออกมาให้มันปวดหัว เพราะทำงานในระบบมันก็แย่พอแล้ว สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็เป็นข้อเท็จจริง ถ้าอยากทราบวิสัยทัศน์ของผม ในฐานะถ้าจะเป็นนายกฯ คนต่อไป วิสัยทัศน์มีอยู่แล้วคือ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 วิสัยทัศน์ของผมมีเท่านี้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯ ลั่นโชว์ฝีมือหมดแล้ว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า นโยบายของรัฐบาลในวันนี้ทำแล้วทั้ง 11 ด้าน เช่นเดียวกับวาระของชาติในหลายอย่างก็แก้ไขปัญหาไปหมดแล้ว ที่แล้วมาก็ได้แสดงฝีมือไปหมดแล้ว ถ้าถามว่าในอนาคต หากได้เป็นนายกฯ แล้วจะทำอะไรต่อ จะบอกว่าได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทต่างๆ ขึ้นมา ทำกฎหมายการเงินการคลัง จัดซื้อจัดจ้าง การค้าการลงทุนและอีกหลายฉบับ ซึ่งไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ปลายทางอย่างเดียว ทุกอย่างมีกฎหมายกำกับไว้หมดแล้ว หากไม่มีกฎหมาย พูดลอยๆ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร ถ้ายกเลิกแล้วไม่ทำอย่างที่ตนเองทำก็ต้องไปดูกฎหมายกันใหม่ ดังนั้น สิ่งที่กำหนดไว้ใน 5 ปีแรกจึงถือว่าสำคัญที่สุด เราได้วางแผนแม่บทไว้อย่างชัดเจน โดยทำในช่วงต่อๆ ไป แล้วแต่ว่ารัฐบาลใดจะเข้ามาบริหารงาน สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือความทั่วถึงและเท่าเทียมเป็นธรรม และเราต้องมีคำตอบไว้ให้ทั้งรัฐบาล ฝ่ายค้าน และประชาชนในวันข้างหน้าด้วย
นายกฯ กล่าวอีกว่า วันนี้บางฝ่ายได้วิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่รัฐบาลทำนั้น ว่ามีการอนุมัติไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าและรถไฟรางคู่ แต่ที่ผ่านมานั้นยังไม่เกิดขึ้น เพราะขั้นตอนการดำเนินงานต้องนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง มีการอนุมัติโดย ครม.ทำประชาพิจารณ์ ก่อนอนุมัติการจัดซื้อจัดจ้างถึงจะสำเร็จ ถ้าอนุมัติไว้ก่อน แล้วรัฐบาลนี้ไม่ทำต่อก็ไม่มีทางได้ ไม่อยากโต้ตอบใคร และไม่ได้ว่าใคร เพียงแต่ต้องอธิบายให้คนเข้าใจ ว่าเมื่อกำหนดนโยบายแล้วต้องแปลงสู่การปฏิบัติให้ได้
“หลายเรื่องวันนี้ทุกคนหยิบมาเป็นประเด็นการเมือง เพราะทุกคนให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง หาเสียง แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ถ้าพูดกันไปมา จนไม่มีสาระอะไรเลย เดี๋ยวก็ฟ้องร้องกันอีก แล้วจะแก้ไขปัญหากันอย่างไร วันนี้ทุกคนต้องลดท่าทีบ้าง หากอยากพูดเรื่องนโยบายก็พูดกันไป แต่ต้องบอกถึงที่มาของการใช้จ่ายงบประมาณด้วย รัฐบาลนี้คำนึงถึงรายได้ของประเทศ ประเมินว่า 5 ปีจะทำอย่างไรไม่ให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจนถึงขีดจำกัด ถามว่าเคยมีใครทำงานแบบนี้บ้างไหม หลายเรื่องที่สามารถทำได้ในวันนี้ มาจากการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ ไม่ใช่อนุมัติไว้แล้วบ้าง แต่ก็ทำได้น้อยมาก ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลทำวันนี้ ถือเป็นวิสัยทัศน์ ซึ่งอนาคตต้องทำแบบนี้ ต้องแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ดีกว่าการสร้างความทะเลาะเบาะแว้ง และประเทศเดินหน้าต่อไม่ได้”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลนี้พยายามสร้างโอกาสให้ทุกคน ซึ่งไม่ได้ช่วยเฉพาะคนรวย แต่เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ ดีกว่าออกมาพูดหาเสียง ว่าจะให้เท่านั้นเท่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องยาก ถ้าง่ายคงทำไปแล้ว ขอร้องอย่านำไปหาเสียง จนทำให้หลายคนหมดกำลังใจ จนไม่มีแรงกระตุ้น ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล ทุกอย่างต้องแก้ด้วยเหตุผล
“ถามว่าผมมีวิสัยทัศน์หรือเปล่า สิ่งที่ผมคิดและทำนโยบายออกมานั่นไม่ใช่วิสัยทัศน์ของผมหรืออย่างไร ในฐานะที่เป็นรัฐบาล และ คสช. ต้องใช้ คสช.มาช่วยเสริมทุกเรื่อง หากไม่เอามาเสริมคงทำอะไรไม่ทัน ทั้งการตรวจสอบ แก้ไขปัญหาหนี้สิน ถ้าไม่ใช้ทหารมาช่วยจะทำได้หรือ และขอถามกลับว่าแล้วเป็นหน้าที่ของใคร ทำกันไหวหรือไม่ ทหารเข้ามาช่วยด้านกำลังพล แต่ไม่ได้ก้าวล่วง ซึ่งมีเพียงเบี้ยเลี้ยง เงินเดือน สวัสดิการ ไม่มีโอที ทำงาน 5 อย่างได้เงินอย่างเดียว ซึ่งเราก็ลดงบประมาณตรงนี้อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นก็คงขอขึ้นเพิ่มแบบข้าราชการส่วนอื่น ทหารเราทำทั้งกลุ่มงานด้านความมั่นคงเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม กฎหมายระหว่างประเทศ วัฒนธรรม ทั้งหมดก็เต็มกางเกงแล้ว คนวิจารณ์ก็หยิบแต่เรื่องเดียวขึ้นมา โดยไม่ทราบว่าภาพกว้างเป็นอย่างไร ทำให้คนสับสนอลหม่าน” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ไม่อยากให้เวลา 5 ปีเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ แล้วคนกลับมาโจมตีกัน เหมือนกลับไปสู่จุดตั้งต้นใหม่ เพราะเลยจุดนั้นมาแล้ว เลยจุดที่จะมาบอกว่าการเข้ามานี้ผิดหรือถูก เพราะเวลา 5 ปีนั้นเลยมานานแล้ว เราจะย้อนกลับไปที่เก่าอีกหรือ ตนเองพ้นเวลาเหล่านั้นด้วยกฎหมาย ซึ่งต้องอย่าลืมว่า ที่เข้ามานั้นเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาประเทศขณะนั้น และเมื่อเข้าบ้านแล้วก็ต้องมีอำนาจให้เพื่อทำงานแก้ไขปัญหาได้อย่างต่อเนื่อง แล้วเหตุใดจึงต้องมาตีกันไปมาอีกรอบ ลืมทั้งหมดแล้วหรือยัง ตั้งแต่ก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ลืมหมดแล้วใช่ไหมจ๊ะ
พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงกรณีเผยแพร่คลิปเสียงผ่านโซเชียลฯ ว่ามีบุคคลแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่พรรค พปชร.โทร.สอบถามชาวบ้านว่าถูกใจนโยบายสวัสดิการแห่งรัฐหรือไม่ ถ้าถูกใจให้เลือกพรรค พปชร. พร้อมโอนเงินให้ด้วย ว่าให้เจ้าหน้าที่ในส่วนของสำนักนายกฯ ไปตรวจสอบจากพรรคการเมืองว่าเขาทำหรือไม่ สอบสวนมา ก็ได้รับรายงานในชั้นต้นว่าไม่มี ไม่ได้ทำ และเขากำลังดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษอยู่ เพราะฉะนั้นใครไปให้ข้อมูลพวกนี้ออกมาทางสื่อโซเชียลก็ต้องระมัดระวัง
ตระกูลเพื่อรุมจวก"บิ๊กตู่"
ด้านนางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ดีเบตถือว่าเสียดายโอกาส และประชาชนพลาดโอกาสฟังวิสัยทัศน์ ส่วนที่บอกว่าไม่อยากตอบโต้บนเวทีดีเบต ไม่อยากประดิษฐ์คำ ก็ไม่ต้องกังวล พูดให้ตรงประเด็นไม่ต้องประดิษฐ์ เชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจ เพราะการดีเบตเป็นการวัดถึงคุณภาพศักยภาพของผู้นำ หากไม่พร้อม เพราะเพิ่งมาสู่การเมืองไม่ถึงปีอนุโลมได้ แต่นี่เกือบ 5 ปี เป็นนายทหาร เป็น ผบ.ทบ. เป็นหัวหน้า คสช. ดังนั้นความไม่กล้าไม่น่าใช่ ท่านอย่ากลัวการดีเบต เพราะนักการเมืองที่จะไปร่วมเวทีต้องระวังคำพูดเช่นกัน ประชาชนรอคอยว่า พล.อ.ประยุทธ์จะพลิกสู่การเมืองจากคนยึดอำนาจ จะล้างภาพผู้ก่อรัฐประหารตามกฎหมายคือกบฏจะล้างภาพนั้นเข้าสู่การเมืองอย่างสง่างามได้คือเวทีดีเบต
นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์ พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวในระหว่างลงช่วยผ้สมัคร ส.ส.ถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ออกมาตั้งข้อสังเกตการจะขึ้นดีเบตของ พล.อ.ประยุทธ์ว่า เป็นการหาทางออกให้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ต้องไปดีเบต
นายก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ทษช. กล่าวว่า การดีเบตเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ของคนอาสามาเป็นนายกฯ เพื่อแสดงในความคิดให้สังคมได้รับรู้ว่าจะพัฒนาประเทศอย่างไร จะนำพาประเทศไปทิศทางไหน ส่วนคนที่ไม่กล้ามาดีเบตนั้นทำให้สังคมคิดไปหลายมิติ ทั้งเป็นคนที่ไม่มีอะไรในหัว ไม่มีกึ๋น ไม่มีวิสัยทัศน์ จึงไม่กล้าแสดงวิสัยทัศน์ ที่บอกว่าไม่กลัว แต่ไม่กล้ามา ย้อนแย้งกันเอง
“พล.อ.ประยุทธ์พูดกับสังคมว่าเป็นคนเก่ง รู้ทุกเรื่อง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์แสดงให้เห็นแบบนั้น แต่วันนี้สังคมตั้งคำถามว่าสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่ารู้นั้นรู้จริงไหม หรือเป็นแค่คนสมองกลวง หากรู้จริงและกล้าจริงควรมาดีเบตให้สังคมประจักษ์ด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้นสังคมจะไม่เชื่อและตั้งคำถามบางคนถึงขั้นดูถูกเอา ท่านเคยเป็นผู้นำยึดอำนาจ กล้าเสี่ยงเป็นเสี่ยง ตายยึดอำนาจ แต่ทำไมไม่กล้าพูดกับสังคม ผมมองว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ยกเว้นว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถพอแสดงวิสัยทัศน์ ซึ่งตอกย้ำว่า สิ่งที่สังคมสงสัย 4-5 ปีเก่งแต่ใช้กำลัง ส่วนเรื่องการวางแผน นโยบายนั้นล้วนมาจากแนวคิดของคนรอบข้าง ไม่ใช่มาจาก พล.อ.ประยุทธ์” นายก่อแก้วกล่าว
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ออกแถลงการณ์สมาคมเรื่อง “ค้านบิ๊กตู่ร่วมเวทีดีเบตส่อขัดรัฐธรรมนูญ” ระบุว่าตามที่พรรคการเมืองต่างๆ พยายามขุดหลุมพรางให้ พล.อ.ประยุทธ์เข้าร่วมเวทีดีเบตนั้น หาก พล.อ.ประยุทธ์พลั้งเผลอตกลงปลงใจเข้าร่วม จะทำให้ขาดความชอบธรรมในฐานะข้าราชการที่ต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมืองทันที ประหนึ่งว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์มีสถานะเป็นนายกฯ และหัวหน้า คสช. ซึ่งจะเข้าข่ายความผิดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 186 วรรคสอง
“พล.อ.ประยุทธ์ต้องรู้จักสถานะของตนเองว่าเป็นคนนอกพรรคการเมือง ไม่ใช่หัวหน้าพรรคการเมือง และไม่ใช่สมาชิกพรรคการเมืองใดๆ เป็นเพียงแค่ผู้ถูกพรรค พปชร.เสนอชื่อให้สภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกฯ เท่านั้น การดีเบตแสดงนโยบายและวิสัยทัศน์เป็นสิ่งที่ดีในสังคมประชาธิปไตย แต่ควรเป็นหน้าที่ของหัวหน้าพรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งเท่านั้น” นายศรีสุวรรณกล่าว และว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ตกหลุมพรางจะหมดความชอบธรรมในฐานะนายกฯ และหัวหน้า คสช.ทันที แม้ กกต.จะอนุญาตให้เข้าร่วมเวทีดีเบตได้ แต่ทว่ามติของ กกต.ไม่ใช่ข้อยุติทางกฎหมายเป็นที่สุด แต่ผู้ที่จะวินิจฉัยกรณีดังกล่าวได้คือศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น
นายศรีสุวรรณกล่าวอีกว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์กล้าลองดีกับกฎหมาย สมาคมก็พร้อมดำเนินการตามครรลองของกฎหมาย เพื่อนำไปสู่การยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย และอาจนำไปสู่การยุบพรรค พปชร.ต่อไป แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์อยากจะเข้าร่วมดีเบต ก็ขอให้ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ และหัวหน้า คสช.เสีย เพื่อไม่ให้ขัดต่อกฎหมายนั่นเอง
บิ๊กป๊อกแนะชูนโยบายหาเสียง
ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ ถือเป็นวันแรกที่สำนักงาน กกต. จัดให้มีการบันทึกเทปจัดดีเบตประชันนโยบายบริหารประเทศของพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง ส.ส. รวม 54 พรรค ซึ่งคู่แรกเป็นการดีเบตระหว่างพรรคพลังท้องถิ่นไท โดยนายชื่นชอบ คงอุดม โฆษกพรรค และพรรคประชานิยม ที่มี พ.ต.อ.รวมนคร ทับทิมธงไชย ประธานยุทธศาสตร์นโยบายพรรคเข้าดีเบต ในหัวข้อนโยบายการศึกษา ส่วนคู่ที่ 2 เป็นการดีเบตระหว่างพรรคประชาชนปฏิรูปที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรค และพรรคอนาคตใหม่ที่มี น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค ดีเบตในหัวข้อนโยบายการเกษตร
ขณะเดียวกัน ที่สำนักงาน กกต. น.ต.สุธรรม ระหงษ์ ผู้อำนวยการพรรคประชาธิปไตย (ปชป.) ได้ยื่นหนังสือถึงประธาน กกต. ขอหารือในทางปฏิบัติเรื่องการขึ้นป้ายโฆษณาหาเสียงในรูปแบบต่างๆ ตามระเบียบที่ กกต.กำหนดให้สามารถนำภาพผู้สมัคร หัวหน้าพรรค และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ลงในโฆษณาหาเสียงได้เท่านั้น แต่ที่ผ่านมาพบว่ามีผู้สมัครบางพรรคนำภาพนอกเหนือจากข้อกำหนดดังกล่าวไปขึ้นป้าย เช่น ภาพทำกิจกรรมร่วมกับคนชรา หรือเด็กนักเรียน พรรคจึงต้องการสอบถามความชัดเจนโดยเร็ว และไม่สามารถรอฟังคำตอบ 30 วันตามกำหนดของ กกต. เพราะจะล่วงเลยการหาเสียงเลือกตั้งไปแล้ว จึงต้องการให้ กกต.ให้คำตอบที่ชัดเจน เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันกับทุกพรรคการเมือง
วันเดียวกัน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงสถานการณ์การหาเสียงช่วงเดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ว่าบรรยากาศทั่วไปอยู่ในความเรียบร้อย ส่วนที่กองทัพเป็นเป้าโจมตีในการนำเสนอนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ นั้น ต้องไปถามคนที่หาเสียง แต่ในความคิดการหาเสียงต้องเสนอแนวทางในการบริหารประเทศชาติ แต่ที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นการยกประเด็นมาโจมตีกัน อยากเห็นนักการเมืองชูนโยบายว่าเมื่อเข้ามาบริหารประเทศแล้วจะทำอย่างไร อย่าบอกเฉพาะเป้าหมายควรบอกวิธีทำด้วย ประชาชนจะได้ใช้วิจารณญาณว่าหากพรรคการเมืองจะทำเช่นนี้ มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่จะทำได้
“อย่างที่โพลระบุว่าอยากเห็นนโยบายที่ทำได้จริง ไม่ใช่พูดไปแล้วทำไม่ได้ อยากเห็นพรรคการเมือง เสนอนโยบายว่าจะทำอย่างไรที่จะใช้อำนาจรัฐ บริหารประเทศชาติให้ดีขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม แต่ยังเห็นการใช้วาทกรรมในการโจมตีกันอยู่” พล.อ.อนุพงษ์กล่าว
พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ โฆษกพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงกรณีนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ออกมาตั้งข้อสังเกตถึงนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ว่าจะทำได้จริงหรือไม่ เพราะใช้งบประมาณจำนวนมาก ว่าเป็นการออกมาแสดงความห่วงใยของปลัดคลัง ซึ่งแนวทางของพรรคในการทำนโยบายได้ศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องหมดแล้วว่าทุกนโยบายทำได้จริง ไม่กระทบวินัยทางการเงินการคลัง
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย (สร.) ลงพื้นที่ช่วยลูกพรรคหาเสียงที่ตลาดวงเวียนใหญ่ พร้อมระบุว่า ขอจองคิวเชือด พล.อ.ประยุทธ์กับ พล.อ.ประวิตรเป็นคิวต่อไป หลังจากที่ก่อนหน้า คนชื่อ ป. อย่างกำนันเป๊าะ กับ ป. ประตูน้ำได้จัดการมาเรียบร้อยแล้ว ขอให้พี่น้องเชื่อมั่นในคนชื่อเสรีพิศุทธ์ ตั้งใจทำอะไรแล้วต้องสำเร็จ ปัญหาใหญ่ของชาติที่มุ่งมั่นที่จะแก้ไขก็คือเรื่องของการปฏิรูปกองทัพ
ส่วนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ (พ.พ.ช.) นำคณะลงพื้นที่เขต 8 ลาดพร้าว วังทองหลาง เพื่อช่วยเหลือผู้สมัครของพรรค โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า คนที่ได้ประโยชน์จากความขัดแย้ง สังคมไทยต้องติดตามกันให้ดี เช่นเดียวกับความแตกแยก วันนี้คือความเห็นต่าง เหมือนนายสุเทพประกาศชัดเจนว่าไม่ร่วมมือกับตระกูลเพื่อ แต่ความจริงนั้น วันนี้ไม่ใช่เรื่องตระกูลเพื่อแต่เป็นเรื่องว่าจะเอา พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ มีสองฝ่ายเท่านั้นในทางการเมือง และเชื่อว่าคนที่อยู่ในพรรค พปชร.ขาด พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ แต่หากประชาชนขาด พล.อ.ประยุทธ์ ชีวิตประชาชนดีขึ้นอย่างแน่นอน
จวก“อนค.”บิดเบือน
ขณะที่นายธนพร ศรียากูล หัวหน้าพรรคคนธรรมดาแห่งประเทศไทย เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กรณีนายธนาธรปราศรัยถึงนโยบายการประมงที่มหาชัย โดยกล่าวหารัฐบาลแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) สุดโต่ง ไม่ฟังเสียงชาวบ้าน จ้องเอาใจนายทุนระบุว่า เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายตั้งแต่ 2558 กระทั่งไทยได้รับการปลดใบเหลืองการทำประมงผิดกฎหมายจากสหภาพยุโรป จึงพอมีความรู้ความเข้าใจปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายบ้าง และเพื่อให้เกิดการถกเถียงด้วยข้อมูลที่ครบถ้วน สมบูรณ์ และเป็นระบบ ระหว่างพรรคการเมืองที่นำเสนอนโยบายด้านการประมงด้วยกัน จึงขอเชิญร่วมอภิปรายเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ในวัน เวลา และสถานที่ที่สะดวกต่อไป
โดยนายธนพรกล่าวเพิ่มว่า ที่นายธนาธรกล่าวหาการแก้ปัญหาประมงว่าเป็นการเอื้อทุนใหญ่ นายธนาธรไม่ทราบหรือว่าที่เราโดนใบเหลืองประมงเพราะอะไร การแก้ปัญหาประมงไม่ใช่การอุ้มกลุ่มทุน เป็นการทุบทุนใหญ่ให้เจ๊งต่างหาก และการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์เป็นการอุ้มกลุ่มทุนตรงไหน นายธนาธรไม่รู้เรื่องหรือ ขอให้เข้าใจใหม่ พรรคอนาคตใหม่ควรฟังให้เยอะ ไม่ใช่ไปฟังแต่พวกโจร IUU ที่ทำผิดกฎหมายทั้งนั้น พรรคอนาคตใหม่ควรประกาศจุดยืนเลยจะส่งเสริมค้ามนุษย์และแรงงานทาสใช่ไหม
วันเดียวกัน ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์เศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กถึงการหาเสียงของพรรค อนค. ว่าได้ชมการไลฟ์ของพรรค อนค.แล้ว ต้องชื่นชมนายธนาธรนำเอาข้อมูลและเรื่องราวประเด็นเศรษฐกิจที่หลายๆ คนมองว่าเป็นเรื่องยุ่งยากมาอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ แต่ขอแสดงความคิดเห็นเพื่อประโยชน์ในการหาเสียงครั้งต่อๆ ไป รวมถึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานบริหารประเทศในอนาคตด้วย ว่าคืออย่าใช้ข้อมูลมาบิดเบือนเพื่อหาเสียง
“คุณธนาธรมีป้ายหาเสียงที่บอกว่า 5 ปีรวยกระจุก จนกระจาย แต่ตัวเลขจริงๆ GINI coefficient ของไทยเราปรับตัวลดลงมาโดยตลอด จากระดับ 0.508 สมัยนายทักษิณ ลงมาเป็น 0.484 สมัยนายอภิสิทธิ์ ลดเป็น 0.465 สมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ และเป็น 0.453 สมัย พล.อ.ประยุทธ์ นั่นแปลว่าการกระจายรายได้ของเราดีขึ้นตลอดในช่วงที่ผ่านมาครับ ไม่ใช่ 5 ปี รวยกระจุก จนกระจาย” ดร.ปิติกล่าว
ดร.ปิติยังกล่าวอีกว่า นายธนาธรบอกอีกว่าเพราะเราไม่เป็นประชาธิปไตย การกระจายรายได้เราถึงแย่ แต่ไปดูประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์เลยครับ GINI ของจีนอยู่ที่ 0.422 ดีกว่าประเทศประชาธิปไตยหลายๆ ประเทศครับ หรือเวียดนามก็ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ GINI อยู่ที่ 0.353 ทั้งที่เขาไม่ใช่ประชาธิปไตย.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |