ติวเข้มทำบัญชีค่าใช้จ่าย ปิยบุตรทวงบุญคุณ'พี่ศรี'


เพิ่มเพื่อน    

    กกต.ติวเข้ม 78 พรรคการเมืองทำบัญชีใช้จ่ายเลือกตั้ง เตือน กม.ใหม่ซับซ้อนผิดพลาดมีโทษ รับระเบียบหยุมหยิมปฏิบัติยาก เล็งเสนอแก้ไขในอนาคต "ศรีสุวรรณ" ยื่นยุบพรรคอนาคตใหม่ เหตุอุปโลกน์ประวัติ-หาเสียงดูหมิ่นคนอีสาน "ธนาธร" ล่องใต้หาเสียงเมินโดนร้องบอกเรื่องเล็ก "ปิยบุตร" ลั่นพร้อมถูกตรวจสอบแต่ขออย่าใช้เป็นเครื่องมือการเมือง แจงลงประวัติหัวหน้าผิดแค่พลาดทางเทคนิค พร้อมทวงบุญคุณเคยโอนเงินช่วยสมัยถูกศาลปรับ
    ที่โรงแรมทีเค พาเลซ วันที่ 25 ก.พ. นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแนวทางการจัดทำบัญชีแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.และพรรคการเมือง โดยมีผู้แทนจากพรรคการเมือง 78 พรรค ผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำจังหวัด และเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติของสำนักงาน กกต.รวม 432 คนเข้าร่วมการประชุม
    นายอิทธิพรกล่าวว่า การจัดทำบัญชีรับ-จ่ายของพรรคการเมืองเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่างน้อยต้องประกอบด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมถึงรายจ่ายค้างชำระ โดยเอกสารจะต้องถูกต้องครบถ้วนเป็นไปตามความเป็นจริง  
    "กกต.ได้ออกระเบียบและวิธีการจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ตลอดจนวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียง จึงขอให้พรรคการเมืองศึกษาและทำความเข้าใจเพื่อปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน นอกจากนี้ กกต.ได้จัดบรรยายถึงวิธีการจัดทำบัญชีรายรับและรายจ่ายในการเลือกตั้ง ซึ่งมีทีมวิทยากรจากกรมบัญชีกลางและสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมาบรรยายทำความเข้าใจอย่างละเอียด" นายอิทธิพรกล่าว
    นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต.กล่าวว่า กฎหมายเรื่องค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเปลี่ยนแปลงไปมากเหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่ ซึ่งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่าย การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต้องใช้ทุน แต่ทุนต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ จึงออกกฎหมายให้ กกต.เน้นตรวจสอบการใช้เงินระหว่างการเลือกตั้ง โดย กกต.สามารถร้องขอให้กรมบัญชีกลางหรือสำนักงานตรวจสอบบัญชีเข้าไปตรวจสอบบัญชีพรรคการเมืองระหว่างการเลือกตั้งได้ 
    "กฎหมายกำหนดให้พรรคการเมืองชี้แจงที่มาของเงิน วิธีการใช้จ่ายเงิน และการรายงานงบการเงินประจำปี โดยการบันทึกค่าใช้จ่ายผู้สมัครและพรรคการเมืองต้องมีความรู้พื้นฐานจากวิธีหาเสียงและลักษณะต้องห้าม เป็นฐานคิดค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง โดยค่าใช้จ่ายถูกกำหนดไว้ที่ 1.5 ล้านบาท เขตใหญ่ขึ้นแต่เงินเท่าเดิม ในส่วนของพรรค 35 ล้านบาท ถ้าค่าใช้จ่ายเกินจะมีปัญหา กรณีนำพ่อแม่ลูกเมีย ญาติพี่น้องมาเป็นผู้ช่วยหาเสียง หรือกรณีป้ายหาเสียงถูกทำลายแล้วทำป้ายใหม่ไปติดทดแทน ต้องนำไปคิดรวมเป็นค่าใช้จ่ายหรือไม่ ผู้สมัครและพรรคการเมืองต้องศึกษาให้ดี เพราะหากทำไม่ถูกต้องมีโทษ" นายแสวงกล่าว
    รองเลขาฯ กกต.กล่าวว่า กฎหมายกำหนดค่าใช้จ่ายเป็น 3 ประเภท คือ 1.ค่าใช้จ่ายของผู้สมัคร  1.5 ล้านบาท เริ่มนับตั้งแต่วันที่มี พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.ค่าใช้จ่ายตามประเพณี เงินทำบุญ เกิน 3,000 บาทต้องบันทึกเป็นค่าใช้จ่าย รวมเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งครั้งต่อไป เริ่มนับหลังการเลือกตั้งหรือตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.ไปจนครบวาระ ซึ่งเป็นภาระของผู้สมัคร สมมุติดำรงตำแหน่งวาระ 3  ปี ใช้จ่ายไป 1 ล้านบาท การหาเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไปจะเหลือแค่ 5 แสนบาท ส่วนกรณีเป็นการทำบุญนอกเขตเลือกตั้งจะนับเป็นค่าใช้จ่ายของพรรค เช่น การมอบรางวัลในงานต่อยมวย ใครไปบริจาคอะไรไว้ต้องลงบันทึก ถ้าตกหล่นแล้วสำนักงาน กกต.เห็นเองจะบันทึกให้ หากค่าใช้จ่ายเกิน 1.5 ล้านบาท  ครั้งหน้าจะไม่ได้เป็น ส.ส. และ 3.เป็นเงินที่พรรคสามารถบริจาคให้ผู้สมัคร คล้ายเงินสนับสนุนผู้สมัคร  ซึ่งเริ่มนับแต่วันที่มี พ.ร.ฎ.จนถึงวันเลือกตั้ง
รับ กม.หาเสียงหยุมหยิม
    "กฎหมายสลับซับซ้อนดังกล่าวเป็นปัญหาทางธุรการของพรรคและสำนักงาน กกต. ซึ่งต้องยอมรับว่าระเบียบหยุมหยิมปฏิบัติยาก กกต.ไม่อยากทำแต่กฎหมายเขียนให้ทำ ทั้งจำนวนป้าย ขนาดป้าย และสถานที่ปิดประกาศ หลังจากนี้ กกต.จะประมวลผลว่าระเบียบต่างๆ สร้างภาระให้พรรคการเมืองและสำนักงาน กกต.อย่างไร สิ่งที่ได้มาตรงตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ต้องการให้การหาเสียงเลือกตั้งเป็นไปอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ ในอนาคตอาจต้องเสนอแก้ไขกฎหมาย แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ต้องใช้ระเบียบนี้ไปก่อน" รองเลขาฯ กกต.กล่าว
    ต่อมานายอิทธิพรกล่าวถึงกรณี พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาฯ กกต.ระบุว่าจะแจกใบส้มให้ผู้สมัคร ส.ส.ที่ถูกร้องเรียนและตรวจพบความผิดเองว่า ไม่มี เข้าใจว่าที่เลขาฯ พูดเป็นไปตามหลักการเท่านั้น  การพิจารณาจะให้ใบส้มหรือใบแดงแก่ผู้สมัคร ส.ส.ที่ถูกร้องเรียนต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและหลักการมากกว่า ซึ่งตามจริงแล้ว กกต.ก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในระหว่างที่จะมีการเลือกตั้ง
    "อยากให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเสรี ทุกคนมีส่วนร่วมได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ในช่วงนี้แม้จะใกล้วันเลือกตั้งแล้วแต่เราก็ไม่มีความกังวลอะไร ซึ่งสิ่งที่ต้องทำคือการติดตามเรื่องที่ต้องติดตาม เช่น การพิมพ์บัตรเลือกตั้ง การเตรียมการของเจ้าหน้าที่ การเตรียมการเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตและนอกราชอาณาจักร ซึ่งขณะนี้ยืนยันว่าเรื่องพิมพ์บัตรไม่มีปัญหา" ประธาน กกต.กล่าว
    ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางไปยื่นคำร้องต่อประธาน กกต.ขอให้ตรวจสอบกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค กระทำการต้องห้ามตามมาตรา 73 (5) ประกอบมาตรา 132 และมาตรา 159 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2560 
    นายศรีสุวรรณกล่าวว่า การที่เว็บไซต์ของพรรคอนาคตใหม่เผยแพร่ประวัติของนายธนาธรว่าเคยเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 2 สมัย ทั้งที่ไม่เคยดำรงตำแหน่งดังกล่าว ถือเป็นการอุปโลกน์ข้อมูลดังกล่าวขึ้น การที่พรรคนำเสนอว่าหัวหน้าพรรคเคยดำรงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี 2551-2555 จึงเป็นการหลอกลวงประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งให้เข้าใจผิดในข้อมูลข้อเท็จจริง มีโทษตามมาตรา 159 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. จำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่นถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งผู้นั้นมีกำหนด  20 ปี
    "การจะอ้างว่าไม่เจตนาต้องดูองค์ประกอบปัจจัยแวดล้อมหลายด้าน พรรคได้รับการรับรองจากนายทะเบียนพรรคการเมืองตั้งแต่ 3 ต.ค.61 และเว็บไซต์ของพรรคก็นำเสนอข้อมูลดังกล่าวตั้งแต่นั้น จนกระทั่งมีผู้ไปค้นพบว่าข้อมูลที่นำเสนอไม่ใช่ข้อเท็จจริง แล้วจึงค่อยมีการแก้ไขเมื่อ 20 ก.พ.62 ระยะเวลากว่า 5 เดือนที่ปรากฏข้อมูลอยู่ในเว็บไซต์ของพรรค จึงเป็นการชี้ชัดว่ามีเจตนาต้องการที่จะสื่อข้อมูลเหล่านั้นให้ผู้บริโภค ดังนั้นการจะอ้างว่าไม่มีเจตนาที่จะนำเสนอข้อมูลเหล่านั้นจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอ" นายศรีสุวรรณกล่าว
    นอกจากนี้ ได้ขอให้ตรวจสอบกรณีนายปิยบุตรไปปราศรัยที่ จ.สกลนคร เมื่อวันที่ 16 ก.พ. และวันที่ 18 ก.พ.ได้มีการนำข้อความมาโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะว่า หน่วยงานรัฐส่วนกลางและสื่อมวลชนบางกลุ่มร่วมมือกันในการที่จะทำให้คนอีสานเป็นตัวตลกและไม่มีความรู้ คำพูดในลักษณะนี้เป็นการสื่อความหมายดูหมิ่นดูแคลน ใส่ไคล้คนอีสาน หน่วยงานรัฐส่วนกลางและสื่อมวลชนบางกลุ่มซึ่งไม่เป็นข้อเท็จจริง จึงเข้าข่ายเป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จ เข้าข่ายผิดตามมาตรา 73 (5) เช่นเดียวกัน
ธนาธรเมินศรีสุวรรณร้อง
    "การกระทำของบุคคลทั้ง 2 ที่เป็นหัวหน้าและเลขาธิการพรรค ยังอาจมีผลให้การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งตามกฎหมายเลือกตั้งมาตรา 132 กำหนดว่า กรณีปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าและคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองกระทำ มีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลยให้ผู้สมัครของพรรคกระทำการอันอาจทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต เที่ยงธรรม สามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นได้ จึงขอให้ กกต.พิจารณาในประเด็นดังกล่าวด้วย" นายศรีสุวรรณกล่าว
    ด้านนายธนาธรซึ่งลงพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ช่วยผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่หาเสียง กล่าวถึงกรณีนายศรีสุวรรณยื่นร้องเรียน กกต.ว่า เป็นเรื่องเล็ก ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โต พรรคเราไม่ได้ให้ความใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และจะเดินหน้ารณรงค์เผยแพร่อุดมการณ์ของพรรคอย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้ต่อไป
    เช่นเดียวกับนายปิยบุตรที่ได้กล่าวว่า เมื่อนายศรีสุวรรณต้องการตรวจสอบคุณธนาธรและตน รวมทั้งพรรคอนาคตใหม่ พวกตนในฐานะคนที่อยู่ในวงการเมือง เป็นบุคคลสาธารณะ ก็พร้อมในการถูกตรวจสอบและยินดีที่จะชี้แจงให้กระจ่างชัด
    นายปิยบุตรกล่าวว่า กรณีการลงประวัติของนายธนาธรในเว็บไซต์ หัวหน้าพรรค โฆษกพรรค และตนได้ชี้แจงหลายครั้งแล้ว เป็นความผิดหลงเล็กน้อยที่ลงประวัติผิดพลาดไป นายธนาธรและแกนนำพรรคไม่ทราบว่ามีข้อความผิดพลาดนี้เลย จนกระทั่งปรากฏให้เห็นในโลกโซเชียลมีเดีย พรรคก็รีบแก้ไขทันที และตั้งแต่ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ก็ไม่เคยเห็นหรือได้ยินนายธนาธรหรือพรรคอ้างว่านายธนาธรเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมทั้งไม่เคยใช้ในการรณรงค์หาเสียง คะแนนนิยมและความชื่นชอบที่นายธนาธรได้รับทุกวันนี้มาจากจุดยืนที่มั่นคง อุดมการณ์ที่แน่วแน่ ความจริงจังจริงใจในการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น
    เลขาฯ พรรคอนาคตใหม่กล่าวว่า กรณีเรื่องอีสานการปราศรัยที่สกลนคร ตนพูดนโยบายยุติราชการรวมศูนย์และทวงคืนอำนาจให้ท้องถิ่น โดยย้อนกลับไปพูดถึงปัญหาการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินไทย ในยุคสมัยหนึ่งที่รวมอำนาจเข้าส่วนกลางและเมืองหลวง แล้วส่งคนไปปกครองตาม พูดถึงความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้างระหว่างภาคอีสานกับส่วนกลาง ภาคอีสานมีทรัพยากร อีสานมีศักยภาพ แต่กลับถูกโครงสร้างที่เหลื่อมล้ำกดทับเอาไว้ 
    "ผมพูดถึงการสร้างวาทกรรมในอดีตที่ทำให้คนอีสานถูกกดทับ พูดถึงคนอีสานที่เป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เสรีภาพ ความเสมอภาค คนอีสานผู้ไม่ยอมจำนนกับเผด็จการและการกดขี่ ผมยกย่องวีรกรรมอาจหาญของครูเตียง ศิริขันธ์, ครูครอง จันดาวงศ์ และรำลึกประวัติศาสตร์การสังหารจิตร ภูมิศักดิ์ ปัญญาชนสยามหัวก้าวหน้า ที่บ้านหนองกุง วิญญูชนผู้มีจิตใจเป็นธรรม ไม่หลงเชื่อการสร้างข่าวเท็จของไอโอ คงตัดสินได้ว่าไม่มีข้อความใดเลยที่ผมดูถูกคนอีสาน หากคุณศรีสุวรรณหรือใครอยากพิสูจน์ ผมอยากเชิญชวนให้ฟังคลิปการปราศรัยตัวเต็ม" เลขาฯ พรรคอนาคตใหม่กล่าว
    นายปิยบุตรกล่าวว่า ชื่นชมบทบาทของนายศรีสุวรรณที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในการฟ้องร้องคดีต่อศาล และใช้บทบาทของความเป็นพลเมืองที่ขยันขันแข็งในการตรวจสอบอำนาจรัฐ ยังจำได้ว่าเมื่อคราวที่ถูกศาลปกครองสูงสุดสั่งลงโทษจำคุก 14 เดือน และปรับ 7 แสนบาท แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ก่อน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลนั้น นายศรีสุวรรณได้รณรงค์ระดมเงินสนับสนุนเพื่อนำไปจ่ายค่าปรับ ตนได้ร่วมโอนเงินระดมทุนและชักชวนคนอื่นๆ ให้ร่วมระดมทุนให้ด้วย 
    "ผมสนับสนุนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและบุคคลสาธารณะ แต่การตรวจสอบต้องทำโดยสุจริต เพื่อประโยชน์สาธารณะ มิใช่ตรวจสอบเพื่อเปิดช่องทางให้มีการนำกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อกำจัดนักการเมืองพรรคการเมืองที่ตนเองไม่ชอบ เกลียดกลัว" นายปิยบุตรกล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"