ดีเอสไอเรียก "สมยศ" แจง 300 ล้าน 15 ก.พ. "เสี่ยกำพล" เผ่นเข้าเขมร "วัชระ" ร้อง ป.ป.ช.สอบอดีต ผบ.ตร.ปมเปรียบอาชีพตำรวจแค่ไซด์ไลน์ ส่อละเว้นปฏิบัติหน้าที่-ผิดประมวลจริยธรรม  "ป๋าเกิด" ขึ้นศาลเจรจาชดใช้คดีข่มขืนสาวโคโยตี
    เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สั่งการให้พนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์สถานอาบอบนวด วิคตอเรีย ซีเครท ที่มีนายกำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าของและพวกตกเป็นผู้ต้องหาค้ามนุษย์และค้าประเวณี มีหนังสือเรียก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เข้าชี้แจงกรณีการยืมเงินนายกำพลจำนวน 300 ล้านบาท ในวันพฤหัสบดีที่ 15 ก.พ.นี้ เวลา 09.30 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ
    "ดีเอสไอต้องการสอบถามถึงเงินจำนวน 300 ล้านบาทที่ พล.ต.อ.สมยศยืมจากนายกำพล มีที่มาที่ไปอย่างไร และเป็นเงินที่เกี่ยวข้องกับสถานอาบอบนวด วิคตอเรีย ซีเครท หรือไม่ ซึ่งเบื้องต้นได้ส่งหนังสือไปแล้ว แต่ พล.ต.อ.สมยศยังไม่ได้ตอบกลับมาว่าสะดวกมาตามวันเวลาที่ดีเอสไอระบุไว้หรือไม่" แหล่งข่าวระบุ
    มีรายงานว่าในส่วนการติดตามตัวนายกำพล และนางนิภา วิระเทพสุภรณ์ (ธีระตระกูลวัฒนา) สองสามีภรรยาเจ้าของวิคตอเรีย ซีเครท ผู้ต้องหาตามหมายจับในความผิด 12 ข้อหา ดีเอสไอพบว่าหลบหนีออกนอกประเทศทางชายแดนจังหวัดสระแก้ว ข้ามไปฝั่งกัมพูชาแล้ว ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการประสานกับเจ้าหน้าที่ประเทศเพื่อนบ้านให้ช่วยตรวจสอบแหล่งหลบซ่อนอีกครั้ง 
    ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายวัชระ เพชรทอง  อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือต่อประธาน ป.ป.ช.ผ่านนายวราพงษ์ อินต๊ะโมงค์  รักษาราชการแทน ผอ.สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ สำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบกรณี  พล.ต.อ.สมยศให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนว่า การรับราชการของตนเองเกือบจะเรียกได้ว่าอาชีพตำรวจถือว่าเป็นไซด์ไลน์ เพราะอาชีพหลักคือทำธุรกิจนั้น แสดงออกอย่างแจ่มชัดว่าขณะรับราชการตำรวจ  พล.ต.อ.สมยศไม่ได้อุทิศเวลาและความตั้งใจในขณะเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ตามจรรยาบรรณของตำรวจ คำพูดดังกล่าวกระทบกระเทือนต่อความเชื่อมั่นความเชื่อถือของประชาชนทั้งประเทศที่มีต่อองค์กรตำรวจด้วย เพราะคำว่าไซด์ไลน์นอกจากจะมีความหมายว่างานเสริม งานพิเศษแล้ว ยังมีความหมายอีกนัยหนึ่งหมายถึงหญิงขายบริการด้วย 
    "ดังนั้นการพูดของ พล.ต.อ.สมยศอาจถือได้ว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่ เพราะไม่ทำหน้าที่ตำรวจอย่างเต็มที่ และอาจจะมีความผิดตามประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ พ.ศ.2551 ข้อ 5(3) ข้อ 12(4) และข้อ 14 หรือไม่ และอาจมีความผิดตามมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ  พ.ศ.2561 หมวดที่ 1 ข้อ 9, 10 หมวดที่ 2 ข้อ 17, 19 และหมวดที่ 3 ข้อ 21, 22 หรือไม่" นายวัชระ กล่าว
    นอกจากนี้ขอให้ตรวจสอบกรณี พล.ต.อ.สมยศยืมเงินนายกำพล 300 ล้านบาท ที่ไม่มีการแจ้งในบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สิน ว่าเป็นการจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช.หรือไม่ 
    ที่ศูนย์ประนอมข้อพิพาท ชั้น 8 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดประนอมข้อพิพาทในคดีค้ามนุษย์  หมายเลขดำ คม.75/2560 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีค้ามนุษย์ 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเกิดใหม่  หรือป๋าเกิด รวยจริงนะ, นางพรรณวรท หรือนินิว ควบคุม และ น.ส.มลฤดี หรือม้าแอม อินอ่อน รวม 3  คน เป็นจำเลยในข้อหาสมคบกันค้ามนุษย์, ร่วมกันค้ามนุษย์ เป็นธุระจัดหาพาไปซึ่งบุคคลอายุเกิน 15  ปี แต่ไม่ถึง 18 ปี เพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศ, ร่วมกันชักจูงส่งเสริมให้เด็กกระทำการอันมีลักษณะลามกอนาจารฯ, พรากและพาเด็กไปเพื่อหากำไรฯ และข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ
     คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า กรณีเมื่อเดือน พ.ค.59 - 5 ก.ย.60 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสามสมคบกันเป็นธุระจัดหาบุคคลอายุเกิน 15 ปี แต่ไม่ถึง 18 ปีมาแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบทางเพศ โดยพาผู้เสียหายอายุ 16 ปีเศษ เป็นผู้เยาว์มาทำงานเป็นโคโยตีในสังกัด และส่งไปยังร้านบาร์เต้นโคโยตีย่านสีลม ใส่ชุดบิกินีนั่งดื่มกินกับลูกค้า ถูกกอดจูบลูบคลำเพื่อสำเร็จความใคร่ 
     นายเกิดใหม่กล่าวภายหลังการประนอมข้อพิพาทว่า ได้นัดเจรจากับผู้เสียหายทั้งหมด 3 คน แต่ผู้เสียหายเดินทางมาเพียงคนเดียว จึงได้เจรจากับผู้เสียหายโดยมีการตกลงว่าจะชดใช้ค่าเสียหาย ส่วนผู้เสียหายอีก 2 คนจะนัดมาเจรจาอีกครั้งในวันที่ 19 มี.ค.นี้ ยืนยันว่าไม่ได้ข่มขืน ทั้งชีวิตไม่เคยข่มขืนใคร  ท้อกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาก เคยคิดที่จะฆ่าตัวตาย แต่ยังมีอะไรที่ต้องทำอยู่จึงต้องมีชีวิตต่อไป ขณะนี้ได้กลับเนื้อกลับตัวแล้ว
     ด้านแหล่งข่าวอัยการเปิดเผยว่า การเจรจาประนอมข้อพิพาทในคดีนี้ถือเป็นครั้งแรก โดยในส่วนของข้อหาข่มขืนและข้อหาพาไป ถ้าอายุเกิน 15 ปี ผู้เสียหายสามารถตกลงยอมความถอนคำร้องทุกข์ได้  แต่ในส่วนข้อหาค้ามนุษย์และพรากผู้เยาว์เป็นคดีอาญาแผ่นดิน ไม่สามารถยอมความได้ ซึ่งผลการเจรจาจำเลยสามารถตกลงกับผู้เสียหายที่ 1 ได้
     ขณะที่ศาลนัดเจรจาประนอมข้อพิพาทครั้งต่อไปในวันที่ 19 มี.ค.นี้ เวลา 09.30 น. ส่วนการพิจารณาคดีศาลจะนัดตรวจหลักฐานในวันที่ 19 ก.พ.นี้ เวลา 09.00 น.