'ลุมพินีวัน' อภิวาท


เพิ่มเพื่อน    

วิหารมายาเทวี เสาหินอโศก และสระโบกขรณี ในสวนศักดิ์สิทธิ์ ลุมพินีวัน ประเทศเนปาล

หากว่านกตัวหนึ่งกำลังเหินบินอยู่เหนือตำบลลุมพินี เขตสิทธัตถะนคร แล้วบินต่ำลงไปยังพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมรอบอยู่ด้วยถนนวิษณุปุระทั้ง 4 ด้าน ภายในสี่เหลี่ยมขนาดพื้นที่ 2 พันไร่ที่นกตัวนั้นเห็นคือ “ลุมพินีวัน” พุทธสังเวชียสถานแห่งเดียวในเนปาล ถนนทางทิศเหนือและทิศใต้เป็นเหมือนด้านกว้างของรูปสี่เหลี่ยม ส่วนด้านยาวคือถนนด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก สวนศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Garden) มีลักษณะเป็นรูปวงกลมอยู่ทางทิศใต้ภายในสี่เหลี่ยมดังกล่าว วิหารมายาเทวีและเสาอโศกอยู่ในวงกลมนี้

นกตัวนั้นได้กลายเป็นผมเองและร่อนลงที่หน้าประตู 5 ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกตอนใต้ของถนนวิษณุปุระ แล้วเดินตรงเข้าไปบนถนนภายในของลุมพินีวันชื่อ Mayadevi Road บริเวณโค้งที่จะเลี้ยวไปทางขวามีกลุ่มริคชอว์หรือสามล้อเฝ้ารอผู้โดยสารอยู่ทางซ้ายมือ เบื้องหน้าคือประตูทางเข้า Old Shakya Temple วัดพุทธเก่าแก่ที่สุดในเนปาล ผมเดินตามโค้งไปได้หน่อยก็มีขอทานอยู่นับสิบคน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เวลา 7 โมงนิดๆ พวกเขาก็เริ่มงานกันแล้ว ผมไม่กล้าให้ทานในขณะที่มีคนรอรับมากมายเช่นนี้ บอกไปว่ารอให้ผมกลับออกมาก่อนจะได้ไหม

รูปปั้นพระพุทธเจ้าน้อย สร้างและนำมาประดิษฐานโดยคณะชาวไทยเมื่อปี พ.ศ. 2556

เมื่อเดินไปได้ 1 ใน 4 ของเส้นรอบวงก็พบกับประตูทางเข้าวิหารมายาเทวีทางด้านซ้ายมือ ศาลาที่เก็บรองเท้าอยู่ใกล้ๆ กัน แต่ใช่ว่าเราจะเข้าไปถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าวิหารได้เลย หากต้องเดินเลี้ยวขวาไปบนถนนเส้นตรง ห่างออกไปเกือบ 100 เมตรทางด้านซ้ายมือคือห้องจำหน่ายตั๋ว ราคาค่าเข้าอยู่ที่ 500 เนปาลีรูปี และค่ากล้องถ่ายรูปอีก 2 เหรียญสหรัฐฯ ผมขอจ่ายเป็นเงินอินเดียนรูปี เจ้าหน้าที่ก็คำนวณออกมาให้เรียบร้อย

จากจุดขายตั๋ว มองตรงไปทางทิศเหนือบนถนนเส้นนี้ที่เป็นเหมือนแกนกลางของทั้งอุทยาน เห็นด้านหลังของ “พระพุทธเจ้าน้อย” ที่คณะชาวไทยร่วมกันสร้างและนำมาประดิษฐานไว้เมื่อปี พ.ศ. 2556 เดินไปถึงก็รู้สึกได้ว่าสวยงามอลังการแบบไทยที่สร้างงานพุทธศิลป์ได้โดดเด่นกว่าใครเขา เลยพระพุทธเจ้าน้อยไปก็คือ “เปลวไฟสันติภาพอันเป็นนิรันดร์”(Eternal Peace Lamp) จุดขึ้นที่สำนักงานใหญ่สหประชาติ กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในโอกาสปีแห่งสันติภาพโลก พ.ศ. 2529 โดยสมเด็จพระราชาธิบดีคยาเนนทรพีรพิกรมศาหเทว์ พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรเนปาล ขณะทรงดำรงพระยศเป็นมกุฎราชกุมารและพระองค์ได้นำเปลวไฟนี้กลับมายังลุมพินีวัน  

หากยืนอยู่ตรงเปลวไฟแล้วมองขึ้นไปทางทิศเหนือ เบื้องหน้าคือสระน้ำเชื่อมต่อไปเป็นลำคลอง เรียกว่า Central Canal กินพื้นที่แกนกลางของลุมพินีวันราว 1 ใน 3 ของทั้งหมด ที่อยู่ไกลสุดของทางด้านทิศเหนือและแลเห็นจากจุดนี้คือเจดีย์สันติภาพโลก (World Peace Pagoda) สร้างโดยการนำของคณะสงฆ์นิกาย “นิปปอนซาน เมียวโฮจิ” จากญี่ปุ่น  เป็น 1 ใน2 เจดีย์สันติภาพในประเทศเนปาล อีกแห่งอยู่ที่เมืองโปขราดังที่ได้กล่าวไปแล้วในสองสามฉบับก่อนหน้านี้ มีข้อมูลว่าใกล้กับฐานของเจดีย์คือหลุมฝังศพของพระสงฆ์ญี่ปุ่นรูปหนึ่งที่ถูกฆาตกรรมโดยกลุ่มต่อต้านศาสนาพุทธในขณะที่กำลังก่อสร้าง

เปลวไฟสันติภาพอันเป็นนิรันดร์ คลองกลางลุมพินีวัน และที่เห็นไกลๆ คือเจดีย์สันติภาพโลก

ลุมพินีวันถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก คือ สวนศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Garden) มีคันดินล้อมรอบเป็นรูปวงกลมเพื่อป้องกันน้ำท่วม ในนี้คือวิหารมายาเทวี เสาหินอโศก กองอิฐของวัดโบราณ บรรดาสถูปบริวาร และสระโบกขรณี ถัดไปเป็นโซนวัดนานาชาติ (Monastic Zone)ฝั่งตะวันตกของลำคลองคือวัดของประเทศต่างๆ ในนิกายมหายาน และฝั่งตะวันออกของลำคลองเป็นวัดในนิกายเถรวาท วัดไทยลุมพินีเป็นหนึ่งในนั้น อีกทั้งยังมีศูนย์ฝึกสมาธิอีก 2แห่ง และส่วนที่ 3 เรียกว่า “หมู่บ้านใหม่ลุมพินี” (New Lumbini Village) นอกจากเจดีย์สันติภาพแล้ว ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ลุมพินี สถาบันวิจัยนานาชาติลุมพินี ศูนย์ข้อมูลข่าวสารนักท่องเที่ยว ที่พักอาศัยสำหรับผู้แสวงบุญ และโรงแรมจำนวนหนึ่ง

ผมเดินกลับไปยังสวนศักดิ์สิทธิ์โดยแวะถอดรองเท้าเก็บบนชั้นวางในศาลาด้านขวามือของประตูทางเข้า ผ่านด่านตรวจของเจ้าหน้าที่แล้วเดินไปยังวิหารมายาเทวี มีป้ายเขียนว่า “ห้ามถ่ายรูป” ติดอยู่หน้าประตู ชายวัยกลางคนซึ่งน่าจะเป็นคนไทยนั่งสมาธิหันหน้าไปทางรูปปั้นพระนางสิริมหามายาขณะประสูติเจ้าชายสิทธัตถะ (Nativity Sculpture) บริเวณกลางวิหาร มีราวกั้นล้อมวิหารหลังเก่าและทางเดินไม้กระดานเป็นวงกลมสำหรับเวียนประทักษิณาวัตรอยู่นอกสุด ต้องระมัดระวัง อย่าเดินแรงหรือเดินลงส้น

วิหารหลังเก่าเป็นกองอิฐโบราณทำขึ้นเป็นห้องเล็กๆ จำนวน 15 ห้อง เรียงทิศตะวันออก-ตะวันตก 5 แถว และทิศเหนือ-ใต้ 3 แถว อิฐที่ขุดค้นพบมีอายุเก่าแก่ย้อนไปถึงราชวงศ์โมริยะ บ้างก็สร้างขึ้นหลังจากนั้น โดยวิหารหลังใหม่นี้ได้สร้างครอบหลังเก่าในปี พ.ศ. 2545

เสาหินอโศกหน้าวิหารมายาเทวี พระเจ้าอโศกมหาราชมีบัญชาให้สร้างขึ้นเมื่อครั้งเสด็จประพาสลุมพินีวัน

ผมเข้าไปใกล้ปฏิมากรรมประสูติเจ้าชาย มองลงไปข้างล่างเห็นรอยพระบาทอยู่ในหินก้อนหนึ่งครอบด้วยกระจกอีกชั้น เรียกว่า Marker Stone ข้อมูลระบุว่าเมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชเสด็จมายังลุมพินีวันเมื่อ พ.ศ. 294 พระองค์ได้นำอิฐเผาไฟเคลือบด้านข้างหินก้อนนี้ไว้ สันนิษฐานว่าเป็นรอยพระบาทที่ได้จากการแกะสลักหินซึ่งเป็นรอยที่ 7 ที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงดำเนินหลังจากประสูติแล้ว ผมเพ่งมองอยู่นานมากหวังจะจำสัณฐานให้ได้เนื่องจากเขาห้ามบันทึกภาพ มีคนโยนเหรียญและธนบัตรลงไปเป็นการบูชาอยู่ไม่ขาดสายมากมายเป็นกองพะเนินตามความเชื่อว่าจะให้โชค ผมเดินเวียนขวาครบ 3 รอบแล้วก็ก้มกราบไปยังรอยพระบาทและรูปปั้น สวดมนต์และนั่งรำลึกถึงเจ้าชายสิทธัตถะและพุทธมารดาอยู่ใกล้ๆ กับน้าผู้ชายคนนั้น แต่ไม่ได้ทักทายกันแม้จะเจอกันอีกสองสามครั้งภายนอกวิหาร  

ประตูทางเข้าและออกมี 2 ประตู ผมเดินออกอีกฝั่งซึ่งดูแล้วมีลักษณะเป็นทางเข้ามากกว่า เห็นสระโบกขรณีอยู่เบื้องหน้า แผ่นป้ายข้อมูลเขียนว่าพระนางสิริมหามายาทรงสรงน้ำในสระก่อนประสูติพระโอรสใต้ต้นสาละ เมื่อประสูติแล้วก็ทรงสรงน้ำให้กับพระโอรสจากสระแห่งนี้เช่นกัน ในอดีตสระมีลักษณะเป็นรูปไข่ ได้มีการทำทางขึ้นลงและขอบอิฐล้อมรอบในปี พ.ศ. 2536 กว้างและยาวด้านละประมาณ 25 เมตร ลึกเกือบ 5 เมตร ระหว่างการทำความสะอาดเมื่อปี พ.ศ. 2539 เจ้าหน้าที่ได้พบบ่อน้ำ 2 บ่ออยู่กันคนละมุมสระ ปัจจุบันมีเต่าอาศัยอยู่หลายตัว

เมื่อเดินไปทางทิศตะวันออกของวิหารมายาเทวีก็ได้เห็นเสาอโศก สร้างจากหินทรายและหินตะกอน มีป้ายเขียนว่าในอดีตสูง 40 ฟุต ปัจจุบันเหลือสูงแค่ 30 ฟุต เคยมี 3 ส่วนคือตัวเสา เชิงหรือฐานรูปดอกบัวใกล้กับส่วนหัว และหัวที่สันนิษฐานว่าเป็นรูปปั้นม้า (ไม่ได้เขียนว่าสิงโต) ซึ่งส่วนม้าที่ดูไม่ออกว่าเป็นม้านี้วางอยู่บนแท่นอิฐใกล้ๆ กับตัวเสาหินภายในรั้วเหล็กสีทอง ถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2439 ซึ่งขณะนั้นพื้นที่บริเวณนี้ถูกปกคลุมด้วยต้นไม้

ส่วนปลายของเสาอโศก แผ่นป้ายข้อมูลระบุว่าน่าจะเป็นม้า ไม่ใช่สิงโตอย่างที่คุ้นเคยกัน

บนตัวเสาสลักอักษรพราหมณ์และภาษาบาลี อีกทั้งได้แปลเป็นภาษาอังกฤษไว้ด้วยว่า “พระเจ้าอโศก ผู้เป็นที่รักของทวยเทพ เมื่อทรงครองราชย์ได้ปีที่ 20 ก็เสด็จประพาสมายังที่แห่งนี้ซึ่งพระศรีศากยมุนีพุทธะได้ถือประสูติ เมื่อเป็นดังนี้ หินที่ระบุตำแหน่งประสูติจึงได้รับการบูชาสักการะและเสาหินก็ได้ถูกปักขึ้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประสูติที่นี่ อากรของลุมพินีถูกเก็บลดลงเหลือ 8 ส่วนถ้วน”

ข้างๆ เสาหินอโศก มีนักบวชและผู้ปฏิบัติธรรมกำลังสวดมนต์อยู่กลุ่มหนึ่ง โดยผู้นำสวดใช้ไมโครโฟนต่อเข้ากับลำโพงแบบพกพา ผมสงสัยว่าน่าจะเป็นชาวเวียดนาม แอบถ่ายรูปมาแล้วเดินเลียบสระโบกขรณีไปยังต้นโพธิ์ที่มีลานกว้างร่มรื่น ผู้บำเพ็ญตนนั่งอยู่เกือบจะล้อมรอบต้นโพธิ์ ส่วนมากมีบาตรคอยรับปัจจัยที่มีคนเดินไปใส่เงินอยู่เป็นตลอดเวลา เมื่อพิศมองอย่างละเอียดก็เห็นทั้งภิกษุในศาสนาพุทธและคนแต่งตัวคล้ายซาดูผมยาวถึงพื้นนั่งรวมอยู่ด้วย เห็นแล้วก็อมยิ้มเพราะสีจีวรของพระและสีอาภรณ์ของซาดูนั้นออกส้มๆ คล้ายๆ กัน เรียกว่าตีเนียนกลมกลืนไปกันได้ ผมเก็บใบโพธิ์ที่หล่นอยู่บนพื้นได้ 2 ใบ และห่างออกไปหน่อยอีก 2 ใบสอดใต้หนังสือนำกลับเมืองไทยเป็นที่ระลึก

รอบๆ วิหารมายาเทวียังมีกลุ่มกองอิฐของวัดโบราณ สร้างขึ้นต่างยุคต่างสมัยก่อน ตั้งแต่ราชวงศ์โมริยะในพุทธศตวรรษที่ 2 จนถึงราชวงศ์คุปตะในราวพุทธศตวรรษที่ 9 มีทั้งกุฏิสงฆ์ หอรวม สถูปอิฐแบบกลมและแบบสี่เหลี่ยม สถูปบริวารจำนวน 31 สถูป โดยหนึ่งในนั้นค้นพบอัฐิมนุษย์แต่ไม่ทราบว่าเป็นของผู้ใด ทว่าสถูปสร้างขึ้นในสมัยจักรวรรดิโมริยะ

ต้นโพธิ์และเหล่านักบวชผู้ล้อมวงรอการถวายปัจจัย

ผมเดินถ่ายรูปมุมต่างๆ ทั่วทั้งสวน มีทางเดินเชื่อมถึงกันสะดวกง่ายดาย เมื่อแดดร้อนขึ้นจนได้ที่แล้วก็เดินออกจากพื้นที่ของวิหาร

ขณะกำลังใส่รองเท้ามีชายคนหนึ่งเข้ามาทัก ผมรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา เขาบอกว่าเรานั่งรถบัสมาจากโปขราคันเดียวกันเมื่อวานนี้ เขาเป็นชาวโปขรา เดินทางมาลุมพินีกับคณะทัวร์ชาวเกาหลี โรงแรมของเขาชื่อ Lumbini International อยู่ห่างจากย่านลุมพินีบาซาร์พอสมควร ใกล้ๆ โรงแรมไม่มีอะไรเลย

เขาให้ทิปลุงคนเฝ้ารองเท้า 10 รูปีต่อหน้าผมแล้วกล่าวลา ผมจึงต้องควัก 10 รูปีให้ลุงไปเช่นกัน

ทางเดินทางเดิมที่ผมเดินเมื่อเช้า คณะขอทานไม่อยู่เสียแล้ว แต่คณะริคชอว์ยังอยู่ ชักชวนให้ใช้บริการ ผมบอกว่าอยากเดิน พวกเขาก็ไม่ตื๊อ

ต้นโพธิ์และเหล่านักบวชผู้ล้อมวงรอการถวายปัจจัย

เดินมาจนเกือบจะถึงทางออกประตูที่ 5 ก็มีชายร่างใหญ่ห่มจีวรเดินยิ้มตรงรี่เข้ามาทักทายเหมือนคนรู้จักกันมาก่อน แนะนำตัวพร้อมยื่นนามบัตร บอกว่าเป็น Supreme Bhikshuหัวหน้าคณะสงฆ์แห่งลุมพินี ในนามบัตรที่ทำจากกระดาษอัดรูปชนิดมันเขียนเบอร์โทรศัพท์และข้อความ “สันติสุขมีอยู่ทั่วโลก” แล้วท่านหัวหน้าคณะสงฆ์ก็พูดออกมาว่า “Donation” ผมจึงตอบว่า “Later” ท่านก็พูดว่า “อ๋อ เลเทอร์เหรอ ได้ๆ” แล้วก็เดินจากไป

สามล้อไม่ตื๊อ ขอทานไม่ตื๊อ อิจฉาชีพก็ไม่ตื๊อ สำหรับผมถือว่าเมืองนี้น่าอยู่น่าเที่ยว

ก่อนเข้าที่พักผมแวะกินมื้อเที่ยงที่ร้าน 365 Restaurant เหมือนเดิม สั่งผัดหมี่มาแค่1 จานเพราะต้องการทำเวลา โดยจ่ายค่าอาหารเป็นเงินเนปาลีรูปี แต่จ่ายค่าที่พักเป็นเงินอินเดียนรูปีเพราะคำนวณแล้วมีเงินเนปาลไม่พอ

ตอนที่เดินถึงถนนใหญ่ก็หันไปเห็นรถเมล์จอดอยู่พอดี วิ่งไปถามเด็กรถว่า “ไปBhairahawa Bus Park หรือไม่ ?” สถานีขนส่งไภรวาอยู่ห่างจากด่านโสเนาลีประมาณ 3กิโลเมตร และไม่มีรถจากลุมพินีบาซาร์นี้ไปถึงด่านโสเนาลีโดยตรง เขาตอบว่า “ใช่” ขึ้นไปนั่งแล้วยื่นเงินให้ 100 เนปาลีรูปี หนุ่มเด็กรถไม่ทอน ผมไม่เชื่อว่าค่ารถจะ 100 รูปีถ้วน แต่ก็นึกว่าเขาจะทอนทีหลัง เพราะตอนชายคนหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นธนบัตร 100 รูปีให้ เด็กรถทอนเงินให้เขา พอเขานับดูแสดงอาการเหมือนรู้สึกได้ว่าทอนไม่ครบ เด็กรถก็บอกว่าแค่นั้นแหละ ชายหนุ่มเลยแก้เซ็งด้วยการล้วงหมากแขกชนิดซองออกมาจากกระเป๋า เทใส่ฝ่ามือ ตบเข้าปาก แล้วเคี้ยวตุ่ยๆ คนที่นั่งข้างๆ ท่าทางเปรี้ยวปากก็ขอไปเคี้ยวบ้าง ส่วนผมได้แต่หันไปทางทิวทัศน์ข้างถนนที่เป็นทุ่งนา เตาเผ่าถ่านที่เป็นปล่องยาวปลายแหลมชี้ขึ้นฟ้าลักษณะคล้ายๆ เมรุเผาศพ ห้างร้านที่นานๆ โผล่มาให้เห็น ส่วนมากใช้ชื่อ Buddha และ Mayadevi  

ซากวัดโบราณและสถูปต่างๆ รายรอบวิหารมายาเทวี

รถจอดตามรายทางสี่-ห้าจุด จุดละหลายนาที คนบนรถต้องการซื้อของที่วางขายอยู่ข้างถนนเด็กรถก็บริการเดินไปซื้อมาให้ ส่วนมากคือผลไม้ มีแอปเปิ้ลและกล้วยเป็นหลัก ระยะทางราว 20 กิโลเมตรใช้เวลาวิ่งชั่วโมงกว่า เลยซุ้มประตูลุมพินีมาได้ราว 100 เมตรรถก็จอด ไม่ใช่ Bhairahawa Bus Park อย่างที่ผมเข้าใจ ข้างหน้าคือสามแยกใหญ่ที่ต้องนั่งรถอีกคันต่อไปยังด่านโสเนาลีเพื่อข้ามไปยังอินเดีย

ผมเดินไปรับกระเป๋าที่ท้ายรถ ถามหนุ่มเด็กรถว่า “ไอ้น้อง ค่ารถจริงๆ น่ะเท่าไหร่ พี่แค่อยากรู้” เขายิ้มแหยๆ ล้วงกระเป๋าจะเอาเงินทอนให้ผม แต่ผมจับข้อมือเขาไว้แล้วบอกว่า “เก็บไว้เถอะ แค่บอกค่ารถจริงๆ มาก็พอ”

“55 รูปี” เขาตอบ

ผมมีเงินเนปาลเหลืออยู่อีกนิดหน่อยโดยที่ไม่รู้จะใช้ซื้ออะไรนอกจากนั่งรถไปให้ถึงด่านชายแดน จึงไม่คิดจะเอาตังค์ทอน

แต่ถามเรื่องค่ารถเพราะต้องการให้เด็กหนุ่มคนนี้มีประสบการณ์ “โกงแล้วถูกจับได้”.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"