20 ก.พ. 2562 น.ส.บรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ในวันที่ 27 ก.พ. 2562 กรมจะเชิญภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกทั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ (สรท.) และตัวแทนเอกชนที่มีสัดส่วนการส่งออกสูงสุด 10 อันดับแรกมาหารือถึงสถานการณ์การส่งออกในปี 2562 เพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคให้กับผู้ส่งออก รวมถึงมาตรการในการสนับสนุนการส่งออกปี 2562 ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ขยายตัว 8%
ทั้งนี้ จากการประเมินปัจจัยลบเบื้องต้น ขณะนี้กลุ่มผู้ส่งออกมีความกังวลเรื่องค่าเงินบาทแข็งค่าเป็นพิเศษ เพราะมีผลต่อรายได้ของภาคส่งออกมาทอนกลับมาเป็นเงินบาท รวมถึงขีดความสามารถการแข่งขันของราคาสินค้าไทยเมื่อเทียบกับราคาสินค้าของประเทศคู่แข่งที่ค่าเงินไม่แข็งค่าเท่าไทย โดยเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นประเด็นที่ทราบกันดีว่าหากค่าเงินบาทแช็งค่ามากเกินไปก็จะกระทบต่อภาคการส่งออก
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกรมจะมีการติดตามผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่า เพื่อช่วยเหลือและดูแลผู้ส่งออกขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ล่าสุดกรมจะร่วมมือกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.)หรือเอ็กซ์ซิมแบงก์ โดยทางเอ็กซ์ซิมแบงก์จะเข้าร่วมกิจกรรมการจัดงานแสดงสินค้ากับกรมในตลาดใหม่และตลาดที่มีความเสี่ยงทางด้านการเงินกับกรมทุกงาน เช่น ตลาดรัสเซียและซีไอเอส ตลาดแอฟริกา รวมถึงตลาดเป้าหมายที่จะผลักดันการส่งออก เช่น จีน อินเดีย อาเซียน เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ส่งออกในกลุ่มเอสเอ็มอีที่จะเดินทางไปร่วมกิจกรรมกับกรม โดยผลักดันเอสเอ็มอีเข้าโครงการทำประกันความเสี่ยงกับเอ็กซ์ซิมแบงก์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงค่าเงินผันผวน
“ตอนนี้กรมและเอ็กซ์ซิมแบงก์จะทำงานใกล้ชิดมากขึ้นในการดูแลเอสเอ็มอีที่เป็นผู้ส่งออก เพราะกลุ่มเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่ผันผวนมาก หากไม่ทำประกันความเสี่ยงไว้ก็จะขาดทุน โดยเอ็กซ์ซิมแบงก์จะร่วมกิจกรรมโรดโชว์ในตลาดต่างประเทศที่เป็นกลุ่มตลาดใหม่ กลุ่มตลาดที่มีความเสี่ยงด้านการเงิน และเป็นกิจกรรมที่มีเอสเอ็มอีไปด้วยกับกรมทุกงาน เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีได้ตรงจุด ส่วนตลาดหลักๆที่ไม่มีปัญหาทางธนาคารพาณิชย์อื่นๆก็ให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอีอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเลือกที่เน้นตลาดที่ไม่ซ้ำกับธนาคารพาณิขย์” น.ส.บรรจงจิตต์ กล่าว
น.ส.บรรจงจิตต์ กล่าวว่า ส่วนสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน (เทรดวอร์) เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐส่งสัญญาณยืดระยะเวลาการชะลอขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนจาก 10% เป็น 25% ออกไปอีก 60 วัน หลังจะสิ้นสุดระยะเวลาชะลอขึ้นภาษี 90 วัน ที่จะสิ้นสุดวันที่ 1 มี.ค.นี้ ทำให้ในต้นเดือนมี.ค. สหรัฐน่าจะยังไม่ขึ้นภาษีสินค้ากับจีนเพิ่มเติม ซึ่งในส่วนของกรมได้เตรียมแผนรองรับไว้แล้ว โดยขณะนี้ได้ให้ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ที่ประจำอยู่สหรัฐ ให้ไปหารายชื่อและเจรจากับผู้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มที่นำเข้าสินค้าจากจีนแต่ได้รับผลกระทบจากการที่สินค้าจีนถูกขึ้นภาษีจากสหรัฐ เบื้องต้นมีประมาณ 15 สินค้าที่ไทยมีโอกาสส่งออกสินค้าทดแทนไปให้สหรัฐแทนสินค้าจีน เช่น เกษตรแปรรูป สินค้าเครื่องเดินทาง
ขณะเดียวกันก็ให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่จีนหารายชื่อและเจรจากับผู้นำเข้าจีนที่นำเข้าสินค้าสหรัฐและได้รับผลกระทบ ว่าไทยจะสามารถช่วยเหลือและส่งออกสินค้าให้กับผู้นำเข้าเหล่านี้ได้อย่างไร
“การส่งออกไตรมาสแรกของไทยอาจได้รับผลกระทบจากเทรดวอร์และค่าเงินบาทบ้าง แต่แนวโน้มในไตรมาส 2 น่าจะกลับมาดี เพราะเป็นปกติที่การส่งออกจะเริ่มกระเตื้องในไตรมาสนี้ ซึ่งกรมก็จะทำงานอย่างเต็มที่ในการผลักดันการส่งออกให้โตตามเป้าหมายที่กำหนดไว้” น.ส.บรรจจงจิตต์ กล่าว
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |