ถ้าว่ากันในแง่ศิลปะ ลีลาแล้ว...ก็คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า เพลงโบร่ำโบราณอย่างเพลง หนักแผ่นดิน นั้น เป็นอะไรที่เฉียบขาด เฉียบคม มีอานุภาพระดับสั่นสะท้านไปถึงม้าม ถึงปอด ถึงริดสีดวงทวารเอาจริงๆ ส่วนในแง่อารมณ์ ความรู้สึกนั้น เนื่องจากโดยเนื้อหา มันหนักไปทาง การเมือง ล้วนๆ เลยคงต้องขึ้นอยู่กับจุดยืน ทัศนะ มุมมอง และ รสนิยม ของใคร-ของมัน จะว่ากันไปตามสภาพ...
--------------------------------------------------
แต่ด้วยจังหวะ โอกาส หรือ สภาวะแวดล้อม ที่ทำให้เพลงเพลงนี้อุบัติขึ้นมา ก็คงปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า มันเป็นบรรยากาศที่ใครต่อใคร ไม่อยากจะไปจดจำ ไปรื้อฟื้น มันขึ้นมามากมายซักเท่าไหร่นัก เพราะเป็นบรรยากาศที่คนไทยกับคนไทยด้วยกันเอง ต้องหันมาฟาดฟัน ออกอาวุธใส่กันและกัน จนต้องนำไปสู่บทสรุปแห่ง โศกนาฏกรรม ที่ไม่ว่าใครๆ รู้สึกไม่สบายใจ ไม่พึงประสงค์ไปด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น...ในเมื่อผู้นำทางทหาร อย่าง บิ๊กแดง ท่านหวนไปรำลึกนึกถึงบทเพลงเก่าๆ เพลงนี้ขึ้นมา ด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ก็เลยต้องเจอกับ สากกะเบือบิน หรือขีปนาวุธพิสัยไกล พิสัยใกล้ จากผู้ที่เกลียดทหาร ไม่ชอบทหาร ระดมเข้าใส่ ระดับไม่รู้กี่ร้อย กี่พันลูก...
-------------------------------------------------
แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหากไม่มี นักการเมือง รายใด พยายามสร้าง จุดขาย ในระหว่างการหาเสียงคราวนี้ ด้วยการประกาศกะจะตัดงบประมาณทหาร รวดเดียวลงไปถึง 10 เปอร์เซ็นต์ให้จงได้ ไปจนถึงยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ผู้นำทหารอย่าง บิ๊กแดง ท่านคงไม่ถึงกับ ของขึ้น อะไรกันมากมาย จนต้องหันไปหยิบเอาเพลง หนักแผ่นดิน มาร้อง มารำ กันอีกต่อไป เพราะโดยเงื่อนไข เหตุปัจจัย ของบ้านเมืองในช่วงนี้ แค่ เดินหน้าประเทศไทย เรื่อยๆ ไปตาม สูตร หรือตาม ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็คงไม่มีอะไรที่ถึงกับต้องเสียวตูด เสียวสันหลัง เอาเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้มีอะไรที่จะนำไปสู่การปฏิวัติ-รัฐประหาร อย่างที่ผู้ที่เกลียดทหาร ไม่ชอบทหาร จะเพ้อๆ กันไปเอง...
-------------------------------------------------
คือไอ้เรื่องของ งบประมาณทางทหาร ที่นักการเมืองบางกลุ่ม บางราย หรือบางพรรค นำมาใช้เป็น จุดขาย ในช่วงระหว่างนี้ อันที่จริง...ก็น่าจะมีส่วนที่ทำให้ต้องเกิดอาการ ของขึ้น กันจนได้นั่นแหละ เพราะว่าไปแล้ว...มันไม่ได้สอดคล้อง กลมกลืน ไปกับ ข้อเท็จจริง กับสภาวะความเป็นไปของโลกในช่วงระหว่างนี้มากมายซักเท่าไหร่ อันถือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความจงเกลียด จงชังทหาร อย่างเห็นๆ กันจะจะ เพราะว่าโลกทั้งโลกในช่วงหลังๆ นี้ ไม่ว่าประเทศใดๆ ต่อประเทศใดก็เถอะ ไม่ใช่แค่คิดจะ ตัด งบประมาณทางทหารลงไปเท่านั้น แต่ต่างหันไป เพิ่ม กันชนิดอุตลุด จนถึงกับมีตัวเลขสถิติที่องค์กรด้านอาวุธ ด้านสันติภาพแห่งประเทศสวีเดน เขาเคยสรุปให้เห็นกันชัดๆ ว่า งบประมาณประเภทนี้ มันเพิ่มขึ้นไปถึงระดับที่สูงซะยิ่งกว่าจุดสูงสุดของ ยุคสงครามเย็น หรือยุคที่เพลง หนักแผ่นดิน กำลังเป็นที่นิยมเอาเลยก็ว่าได้...
----------------------------------------------------------
ยิ่งเป็นประเภทประเทศ มหาอำนาจ ด้วยแล้ว...โดยเฉพาะคุณพ่ออเมริกา ที่ถือเป็น แม่แบบประชาธิปไตย ของบรรดานักประชาธิปไตยทั้งหลายในบ้านเรา มีแต่ เพิ่มกับเพิ่ม มาโดยตลอด ชนิดเอางบประมาณทหารแทบจะทั่วทั้งโลกมารวมกัน ยังไม่ถึงกับแซงหน้างบประมาณทางทหารของอเมริกาด้วยซ้ำ แถมยังไม่ได้มี นักประชาธิปไตย รายใด คิดจะออกมาต่อว่า ต่อขาน คุณพ่ออเมริกาเอาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งในยุคของ ทรัมป์บ้า ด้วยแล้ว มันยิ่งเพิ่มกันชนิดกะจะไปติดตั้งอาวุธในอวกาศเอาเลยถึงขั้นนั้น ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าจีน ไม่ว่ารัสเซีย หรือแม้กระทั่งญี่ปุ่น ที่ รัฐธรรมนูญ ห้าม หรือจำกัดเอาไว้แท้ๆ แต่ก็ยังใส่งบประมาณทางการทหารเอาไว้ชนิดสูงโด่เด่ ชนิดสามารถเข็น เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ ออกมาแทนที่เรือบรรทุกเครื่องบิน กลายเป็นประเทศที่หันกลับไปให้ความสำคัญกับบทบาททางทหาร ไม่ต่างไปจากยุค สงครามโลก เอาเลยก็ว่าได้...
---------------------------------------------------------
ดังนั้น...แค่การซื้อรถถัง ซื้อเรือดำน้ำ ของทหารบ้านเรา ต้องถือว่าชิลๆ หรือ หีดหุ้ย เป็นอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับความเคลื่อนไหวของโลกทั้งโลก ที่มันใกล้จะยิง ใกล้จะสาดอาวุธแท้ๆ ใส่กันและกันหนักเข้าไปทุกที แต่การนำเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้เป็น จุดขาย ของบรรดานักการเมืองบางกลุ่ม บางราย โดยไม่ได้สนใจข้อเท็จจริงและความเป็นไปของโลกเอาเลยแม้แต่น้อย มันก็เลยน่าจะต้อง ของขึ้น กันอยู่มั่งนั่นแหละ เช่นเดียวกับการเกณฑ์ทหาร-ไม่เกณฑ์ทหาร หรือเกณฑ์กันด้วยความสมัครใจ ยังไงๆ...คงหนีไม่พ้นต้องอาศัยช่วงจังหวะ เวลาที่เหมาะสม ไม่ใช่คิดจะเลิก คิดจะล้างกันได้ง่ายๆ...
--------------------------------------------------------
การแสดงออกถึงความเกลียดทหาร ไม่ชอบทหาร เพียงเพื่อจะให้เกิดการเอาชนะคะคานกันในทางการเมือง หรือเพื่อที่จะทำให้คู่แข่งทางการเมืองอย่าง บิ๊กตู่ ต้องถูกเหยียบ ถูกย่ำ ให้จมธรณีลงไปให้ได้ โดยต้องแลกมาด้วยการต้องหันกระทืบ กองทัพทั้งกองทัพ ลงไปด้วย มันเลยออกจะ หนักแผ่นดิน อยู่พอสมควรเหมือนกัน เพราะถ้าหากไม่มีกองทัพ ไม่มีทหารซะอย่างแล้ว โอกาสที่ประเทศไทย แผ่นดิน มันจะสูญสลายหายวับไปกับตา ไม่เหลือพื้นที่ที่จะให้ นักการเมือง รายใด มีโอกาสได้หาเสียง ได้ด่าว่า เล่นงานใครต่อใคร มันย่อมอุบัติขึ้นมาได้แบบฉับพลัน-ทันทีนั่นแล...
---------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Helmuth Von Moltke... “The Army is the most outstanding institution in every country, for it alone makes possible the existence of all civic institutions.- กองทัพเป็นสถาบันที่สำคัญอย่างยิ่ง สำหรับทุกๆ ประเทศ เพราะด้วยกองทัพเท่านั้น...ที่ทำให้สถาบันพลเรือนทั้งหลายจึงอุบัติและตั้งมั่นขึ้นมาได้...”
-------------------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |