19 ก.พ. 2562 นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท (MCOT) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าในส่วนของแผนการพัฒนาที่ดินเปล่าของบริษัทจำนวน 50 ไร่ ซึ่งเป็นบริเวณติดกับถนนเทียมร่วมมิตร รวมถึงศูนย์วัฒนธรรมฯ และยังมีที่ดินในส่วนของสำนักงานใหญ่ของบริษัทปัจจุบัน 20 ไร่ โดยให้ให้สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (สำนักงานศูนย์วิจัยฯ) ดำเนินการศึกษา ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการพัฒนาที่ดินทั้ง 2 แปลง โดยที่ความเป็นไปได้ของการพัฒนาที่ดินเปล่า 50 ไร่ ที่มีมูลค่าที่ดินราว 5,000 ล้านบาทนั้น จะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูสภายใต้รูปแบบดิจิตอลมีเดียซิตี้ ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นโครงการที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยรวมได้สูงถึง 460,000 ตารางเมตร
สำหรับการแบ่งพื้นที่ของที่ดินเปล่า 50 ไร่ ในการพัฒนาจะแบ่งออกเป็น 3 โซนตามข้อกำหนดของผังเมือง ได้แก่ โซน A ซึ่งเป็นโซนที่ไม่มีข้อจำกัดด้านผังเมือง สามารถนำมาพัฒนาเป็นสิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์ได้อย่างเต็มที่ คาดว่าในพื้นที่ส่วนนี้จะนำมาสร้างเป็นสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ และยังสามารถพัฒนาเป็นอาคารสำนักงานให้เช่าและพื้นที่ค้าปลีกได้อีกด้วย
ส่วนโซน B มีข้อจำกัดของสิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์จะต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 10,000 ตารางเมตร ทำให้การพัฒนาในพื้นที่ส่วนนี้จะนำไปพัฒนาเป็นโรงแรม และพื้นที่ศูนย์การแสดงและจัดกิจกรรมที่มีเนื้อที่ 4,000-5,000 ตารางเมตร ซึ่งมีขนาดพื้นที่ใหญ่กว่ารอยัล พารากอน ฮอลล์ และในโซน C ที่ติดกับศูนย์วัฒนธรรมฯ ที่มีข้อจำกัดของผังเมืองอยู่มาก และห้ามไม่ให้สร้างอาคารสูงและสิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวข้องกับการจัดแสดงและกิจกรรมต่างๆ คาดว่าจะใช้นำมาเป็นพื้นที่สีเขียว หรืออาจจะแบ่งขายให้กับเอกชนเพื่อการพัฒนาเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับบนได้
นายเขมทัตต์ กล่าวว่า ที่ดิน 20 ไร่ ที่เป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทในปัจจุบันได้มีการศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับการพัฒนาที่ดินดังกล่าว นับว่าว่าเป็นที่ดินที่มีศักยภาพสูง เพราะอยู่ใกล้กับทำเลย่านพระราม 9 และใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ที่ปัจจุบันราคาซื้อขายที่ดินในย่านถนนรัชดา-พระราม 9 เฉลี่ยพุ่งขึ้นไปสูงแตะ 1 ล้านบาท/ตารางวา ซี่งปัจจุบันโครงการคอนโดมิเนียมเปิดการขายเป็นจำนวนมากในพื้นที่บริเวณโดยรอบ และมีความต้องการซื้อที่อยู่อาสัยในย่านรัชดา-พระราม 9 เป็นจำนวนมาก
ขณะเดียวกันที่ดินผืนดังกล่าว ไม่มีข้อจำกัดด้านผังเมือง ทำให้บริษัทมองถึงโอกาสในการที่อาจจะตัดขายที่ดินที่เป็นสำนักงานใหญ่ในปัจจุบันให้กับผู้ประกอบการ ที่มีความสนใจมาพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยแนวสูง หรือคอนโดมิเนียม ซึ่งอาจจะเป็นการขายทั้งแปลงหรือแบ่งขาย ซึ่งการขายที่ดินดังกล่าวออกไปจะต้องขายหลังจากที่มีการอนุมัติให้บริษัทลงทุนโครงการก่อสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่บนที่ดินเปล่า 50 ไร่ก่อน ซึ่งการขายที่ดิน 20 ไร่ออกไปนั้นจะเป็นการช่วยเพิ่มกระแสเงินสดของบริษัท ทำให้มีสภาพคล่องมากขึ้น เพราะปัจจุบันกระแสเงินสดของบริษัทมีอยู่ไม่มากนัก และการที่มีสภาพคล่องมาก จะช่วยรองรับการดำเนินธุรกิจสื่อที่ปัจจุบันเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง
ทั้งนี้ วันนี้ (18 ก.พ. 62) บริษัทได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนโดยรอบ และผู้เชี่ยงชาญในแต่ละกลุ่มธุรกิจ (Public Hearing ครั้งที่ 1) แล้ว ซึ่งมีแนวทางของการพัฒนาที่ดินเปล่า 50 ไร่ ที่จะเป็นเป็นการเปิดให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนเข้ามาร่วมพัฒนา และการพัฒนาที่ดิน 20 ไร่ ที่เป็นที่ดินสำนักงานใหญ่ของบริษัทในปัจจุบัน ซึ่งมีแนวทาง 2 รูปแบบ คือ การเปิดประมูลให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทแนวสูงหรือคอนโดมิเนียม และการขายที่ดินให้กับผู้ประกอบการภาคเอกชนที่สนใจไปพัฒนา และในอีก 1 เดือน หรือหลังวันที่ 18 มี.ค. 62 จะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน (Public Hearing ครั้งที่ 2) และจะนำเสนอผลการศึกษาต่อคณะกรรมการบริษัทและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในช่วงเดือนพ.ค.-ก.ย. 62
โดยคาดว่าจะเปิดประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนได้ภายในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค. 62 หากการประมูลดังกล่าวไม่เข้าข่ายพระราบัญญัติการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) แต่หากเข้าข่ายพ.ร.บ.PPP จะต้องรอการพิจารณาจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำให้การเปิดประมูลเลื่อนออกไปอีก 1 ปี หรือภายในปลายปี 63 และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างอย่างเร็วได้ภายในปี 66
อย่างไรก็ดี สภาพแวดล้อมโดยรวมของที่ดินทั้งสองแปลงเป็นพื้นที่ Prime area อยู่ติดกับสถานที่สำคัญๆ เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9, ศูนย์วัฒนธรรม, สถานทูตจีนและเกาหลี, ธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่สามารถลงทุนและต่อยอดทางธุรกิจได้ โดยเฉพาะศักยภาพของที่ดิน 50 ไร่ ที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีส้มและสายสีน้ำเงิน บริเวณดังกล่าวยังสามารถทำ skywalk หรือ cover walkway จากสถานีรถไฟฟ้าสายสีส้ม มายังที่ดินทั้งสองแปลงได้ ซึ่งสะดวกสบายต่อการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ และล่าสุดเมื่อวันที่ 31 มกราคม ที่ผ่านมา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.......(PPP) ขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการประกาศบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งจะมีผลให้การดำเนินโครงการดังกล่าวของบริษัทเป็นไปอย่างรวดเร็วและคล่องตัวยิ่งขึ้นและสามารถแข่งขันในตลาดได้
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |