(ทิวทัศน์ที่เห็นโดยทั่วไปตลอดเส้นทางโปขรา-ลุมพินี)
วันที่เมฆบนฟ้าเป็นใจ แม้เกือบ 9 โมงเช้าแล้วก็ยังไม่ลอยไปก่อกวนทิวเขาอันนะปุรณะ วันอากาศแจ่มใสอย่างนี้ผมต้องเดินทางออกจากเมืองโปขรา แต่เมื่อเป้าหมายที่กำลังจะมุ่งหน้าไปสู่คือลุมพินีวัน ความรู้สึกเสียดายก็ไม่ปรากฏในใจเหมือนดังหมู่เมฆที่ลอยไกลจากขุนเขา
ทิวเขาอันนะปุรณะ โดยเฉพาะยอดเขาอันนะปุรณะที่ 1 สร้างความยำเกรงให้กับบรรดานักปีนเขาทั่วโลก เพราะมีผู้พิชิตได้เพียงประมาณ 200 คน น้อยที่สุดในบรรดายอดเขาความสูงเกิน 8,000 เมตรทั้งหลาย และโอกาสที่จะเอาชีวิตไม่รอดเมื่อปีนถึงยอดแล้วก็มีอัตราส่วนสูงที่สุด กิจกรรมที่ได้รับความนิยมแทนการปีนยอดเขาก็คือการเดินป่าในเส้นทางที่ชื่อว่า Annapurna Circuit โดยส่วนมากจะเริ่มจาก “เบซิซาฮาร์” เมืองใกล้ๆ กรุงกาฐมาณฑุ เดินอ้อมทิวเขาอันนะปุรณะและกลุ่มยอดเขาใกล้เคียงแบบทวนเข็มนาฬิการาวๆ 200 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 20 วันก็จะวกมาถึงเมืองโปขรา
9 โมงกว่าแล้วรถโรงเรียนเพิ่งผ่านไป แต่เด็กๆ ไม่ได้ไปสายเพราะที่เนปาลเข้าเรียนกันตอน 10 โมง
ผู้เดินจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมหมู่บ้านชาวฮินดูในช่วงต้นๆ ไปจนสัมผัสวิถีชีวิตแบบทิเบตในเขตใกล้ชายแดนตอนเหนือ จากความสูงตั้งแต่ 800 กว่าเมตรเหนือระดับน้ำทะเล จนถึง 5,000 กว่าเมตร หลายคนยกให้เป็นเส้นทางเดินป่าระยะไกลที่ดีที่สุดในโลก คราวนี้ผมยังไม่มีเวลา และในโอกาสหน้าที่มีเวลาก็ไม่รู้ว่าจะกล้าแลกไหม เหตุเพราะไม่ใช่แนวการเดินทางที่ถนัด
ตั๋วรถบัสระบุเลขที่นั่งไว้ด้วย ผมเลือกไว้ตั้งแต่ตอนซื้อเมื่อ 3 วันก่อน ฝรั่งสาวไม่ตอบสนองใดๆ เมื่อผมบอกหล่อนว่าหมายเลข 5 เป็นของผม หล่อนมากับเพื่อนอีกคนจึงคงอยากนั่งด้วยกันในตำแหน่งที่หลายคนอิจฉา ผมจำต้องเดินหนีไปนั่งที่นั่งเกือบหลังสุดฝั่งขวาของตัวรถ
เด็กรถขึ้นมานับจำนวนคน ผมแจ้งเขาว่าที่นั่งของผมถูกแย่งไปแล้ว เขาว่าอีกสักครู่จะมีคนขึ้นมาจัดการให้นั่งตามตั๋ว แต่พอชายอ้วนคนจัดการขึ้นมาเขาก็แค่ออกคำสั่งสลับที่นั่งสอง-สามตำแหน่ง ไม่ทันเดินมาถึงผมเขาก็ลงจากรถไป แล้วบัสนักท่องเที่ยวก็ออกจาก Tourist Bus Park
แม้ออกจากเขตเมืองโปขรามาแล้วความมหึมาสีขาวเข้มก็ยังไล่ตามหลัง อาจหลบหายไปบ้างในบางโค้งเลี้ยว เหมือนว่าหิมาลัยกำลังโบกมืออำลา นานอยู่เหมือนกันกว่าจะลับตาหายไป ซึ่งคงเป็นช่วงที่รถเริ่มไต่ลงเขา
บัสนักท่องเที่ยวจอดแวะให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำและกินของว่าง
ระหว่างทางเห็นเด็กนักเรียนนั่ง-ยืนรอรถโรงเรียนอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามกับรถบัสของเรา ซึ่งเป็นฝั่งที่จะเข้าเมืองโปขรา แม้ว่าเวลาจะปาเข้าไป 9 โมงกว่าแล้ว ไม่ใช่ว่าเด็กๆ เหล่านี้จะไปโรงเรียนสาย หากแต่โดยทั่วไปแล้วเด็กเนปาลจะเข้าเรียนในเวลา 10 โมงเช้า และเลิกเรียนเวลา 6 โมงเย็น ในแต่ละสัปดาห์จะหยุดเรียนแค่วันเสาร์วันเดียว และวันศุกร์เป็นวันสำหรับการเรียนร้องเพลงและเต้นรำ
ผมมองว่าการเริ่มเข้าเรียนตอน 10 โมงก็ดีไปอีกอย่าง เด็กๆ ไม่ต้องงัวเงียตื่นแต่เช้าตรู่ อาบน้ำอย่างลวกๆ และกินข้าวแบบเร่งๆ ยัดเข้าปากโดยที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียดก็รีบกลืนลงคอ เพราะกลัวจะไปโรงเรียนไม่ทัน ผมเองมีประสบการณ์อย่างที่ว่า แถมยังเป็นคนแรกที่รถโรงเรียนจะมารับ บางวันมาจอดกดดันหน้าบ้านจนไม่ได้กินข้าวเช้า พอโตขึ้นมาก็กลายเป็นคนขี้กระวนกระวายเมื่อถึงเวลารถใกล้จะออก เครื่องบินใกล้จะขึ้น วิตกว่าจะไปตามนัดไม่ทัน หากมีธุระเช้าก็จะนอนไม่หลับ ลักษณะคล้ายๆ กับตัวละครตัวหนึ่งในนิยายของ เอฟ.สก็อต ฟิตซ์เจอรัลด์ ซึ่งเขาเขียนขึ้นตามหลักจิตวิทยาเด็ก ขออภัยท่านผู้อ่านที่ผมจำชื่อเรื่องไม่ได้เสียแล้ว เพราะเคยอ่านเพียงช่วงเริ่มต้นเรื่อง
ในช่วงแรกของการเดินทาง รถบัสยังไม่เปิดแอร์ เพราะอากาศยังคงเย็นสบาย มองออกไปนอกหน้าต่างเป็นภาพท้องทุ่งเล็กๆ ลาดเอียง นาขั้นบันไดก็มี ถัดไปเป็นภูเขา หลังภูเขาก็เป็นภูเขาที่สลับซับซ้อนไปเรื่อยๆ หากเป็นช่วงที่วิ่งอยู่บนไหล่เขาสูงชันก็จะมองเห็นโตรกธารอยู่ด้านล่างและหุบเหวน่าเกรงขาม
รอรถโรงเรียนเป็นเพื่อนกันก่อน
เวลา 10 โมงกว่าๆ รถจอดแวะพักไม่กี่นาทีให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำและซื้ออาหารว่างกินรองท้อง ก่อนจะจอดอีกครั้งตอนเที่ยงนิดๆ คราวนี้จอดนานพอดู มีร้านอาหารขนาดรองรับลูกค้าที่มากับรถบัสได้พร้อมกันทั้งคัน ตัวร้านมุงหลังคาสังกะสี ด้านข้างเปิดโล่ง ตั้งยื่นออกไปจากไหล่เขาริมถนน ให้ทัศนียภาพหุบเขาที่งดงาม
อาหารส่วนมากจะปรุงใส่หม้อไว้แล้ว มีแกงหลายหม้อ วางเคียงกับข้าวสวย นานและจาปาตี ผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่งอายุประมาณ 50 ปี เดินทางคนเดียวนั่งที่โต๊ะริมเหว ใช้มือเปิบข้าวกินอย่างเอร็ดอร่อย ผมเองด้อมๆ มองๆ อยู่ก็ไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี อีกทั้งกลัวว่าเงินรูปีเนปาลจะไม่พอถึงวันข้ามแดนกลับไปฝั่งอินเดีย จึงออกไปซื้อแอปเปิ้ลลูกจิ๋วราคาลูกละ 30 รูปี หรือประมาณ 10 บาท มากิน 2 ลูก แน่นอนว่านี่คือราคานักท่องเที่ยว ผมถามว่าแอปเปิ้ลมาจากไหน แม่ค้าตอบว่า “มุสแตง” พื้นที่ห่างไกลทางด้านทิศเหนือที่ติดกับทิเบต แอปเปิ้ลคือผลไม้ขึ้นชื่อของเขตนี้
หิมาลัยตามมาส่งนักท่องเที่ยว
ฝรั่งหนุ่มคนหนึ่งไม่ยอมเข้าพวกเช่นกัน เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ห่างออกไปจากร้านอาหารและห้องน้ำ สังเกตอยู่ไม่นานผมก็รู้ว่าเขาปลีกตัวไปสูบกัญชาแบบพันลำ
เมื่อรถบัสออกเดินทางอีกครั้ง หนุ่มจีนศีรษะโล่งเตียนที่ก่อนนี้นั่งอยู่ด้านหลังฝั่งซ้ายมือข้ามฝั่งมาขอนั่งด้วย เพราะเขาถูกแย่งที่โดยคนท้องถิ่นที่ขึ้นมา 4-5 คน ระหว่างนักท่องเที่ยวกินอาหารเที่ยง รถนักท่องเที่ยวจึงถูกแจมด้วยชาวบ้านเป็นที่เรียบร้อย คงเพราะรถบรรทุกไม่เต็มพิกัด โชเฟอร์จึงหารายได้เพิ่มด้วยวิธีนี้
หนุ่มตี๋เห็นผมเอายาหม่องตราเสือขึ้นมาดมเขาจึงขอบ้าง พอผมเปิดฝาเขาก็ใช้นิ้วชี้ขุดลงไปได้ยาหม่องมาก้อนหนึ่ง เอาแปะที่ขมับทั้ง 2 ข้าง และป้ายพาดเป็นเส้นตรงตามขวางใต้จมูก แล้วก็หลับตานอน และหลับจริงๆ จังๆ ถึงขั้นมีช็อตที่เอาหัวมาซบไหล่ผม ให้สงสัยว่าเขานอนหลับลงไปได้อย่างไรกับปริมาณยาหม่องที่มากขนาดนั้น
ศาลารอรถจากธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์
ผมเองเมื่อผ่านไปได้สักระยะก็เผลอหลับไปหลายจังหวะเหมือนกัน แต่ก็ต้องตื่นทุกทีเพราะหัวไปโขกกับราวเหล็กริมกระจกที่มีไว้จับยามรถโคลงเคลงหรือเข้าโค้ง โชคยังดีที่หัวไม่ปูด และมาคิดว่าพวกที่นั่งรถบัสเส้นทางนี้เที่ยวกลางคืนคงจะประสบปัญหาหนักกว่านี้
ก่อนรถจะออกจากโปขรา หนุ่มแว่นขายตั๋วบอกผมว่ารถบัสจะถึงลุมพินีเวลาประมาณบ่ายโมงครึ่งหรือบ่ายสอง แต่เมื่อเวลาปาเข้าไปบ่ายสามแล้วรถก็ยังไม่ถึงเมืองพุฒวัล (Butwal) และเมื่อผ่านพุฒวัลมาแล้วรถยิ่งวิ่งช้าลงไป เพราะถนนแย่กว่าบนเขาเสียอีก ตอนที่ผ่านซุ้มประตูชื่อ Gateway to Lumbini ระยะทางห่างจากลุมพินีวันไม่ถึง 20 กิโลเมตร แต่รถใช้เวลาวิ่งนับชั่วโมง กระทั่ง 5 โมงเย็นกว่าๆ รถจึงจอดป้ายสุดท้ายที่ลุมพินีบาซาร์ ใกล้ประตู 5 ของอุทยานลุมพินีวัน รวมเวลาเดินทางประมาณ 9 ชั่วโมง พอๆ กับขาไปเมื่อ 4 วันก่อน
สวยงามและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
ผมถามเด็กรถเรื่องการเดินทางไปยังด่านโสเนาลีสำหรับพรุ่งนี้ เขาก็บอกให้มาขึ้นรถบัสท้องถิ่นแถวๆ นี้ แล้วเขาก็ถามผมบ้างว่ามีที่พักหรือยัง พอตอบว่ายัง เขาก็แนะนำชายคนหนึ่งให้ผมรู้จัก บอกว่าเป็นเพื่อนกัน แล้วเขาก็เดินหายไปโดยที่ผมยังไม่ทันจะได้ถามว่ากระเป๋าเสื้อผ้าอยู่ไหน พอดีกับจังหวะที่หันไปเห็นกระเป๋านอนคลุกฝุ่นอยู่หลังรถบัส
หนุ่มเจ้าถิ่น หลังจากที่ได้รับการแนะนำจากเด็กรถแล้วก็เสนอว่าเขามีเกสต์เฮาส์อยู่ในซอย เข้าไปนิดเดียว ผมถามราคาเสียก่อนเพื่อจะได้ประเมินล่วงหน้าว่าสมควรเดินตามเขาไปหรือไม่ เขาตอบว่า “700 รูปีเนปาล เข้าไปดูก่อนก็ได้ ไม่ชอบไม่เป็นไร”
ที่พักของเขาชื่อ Karve Guesthouse ตั้งอยู่เป็นหลังรองสุดท้าย ห่างจากปากซอย Karuna Girls College ประมาณ 300 เมตร บริหารแบบกิจการครอบครัว คือเมียและลูกๆ อาศัยอยู่ชั้นล่าง ชั้นบนอีก 2 หรือ 3 ชั้น ทำเป็นห้องพักให้แขกเช่า และเมียนั่นแหละคือผู้ทำความสะอาดบ้านทั้งหลัง เขาให้ผมดูห้องชั้น 2 ใจดียกห้องเตียงใหญ่ริมระเบียงให้ ดูแล้วดีเกินราคาคืนละ 200 บาทไปมาก และผมก็ขี้เกียจเดินออกไปหาที่ใหม่ จึงตอบตกลง เขาถามว่าจะกินข้าวที่บ้านด้วยไหม จะได้ให้เมียทำกับข้าวเผื่อแล้วค่อยคิดเงินเพิ่ม ผมตอบว่าขอเดินออกไปดูแถวตลาดก่อนดีกว่า หลังจากนั้นจนกระทั่งเช็กเอาต์ตอนเที่ยงวันรุ่งขึ้นผมก็ไม่เจอหน้าพ่อหนุ่มคนนี้อีกเลย เข้าใจว่ามีงานอื่นให้ทำด้วย
ห้องน้ำของที่นี่ดีที่สุดในบรรดาห้องพักระดับราคาใกล้เคียงกันที่ผมพักทั้งในอินเดียและเนปาล ฝักบัวขนาดใหญ่กระจายน้ำออกมาในระดับที่แรงพอดี อาบน้ำสบายตัวแล้วผมก็ออกไปหามื้อค่ำ มีร้านอาหารที่เน้นไก่ทอดอยู่บริเวณต้นซอย ดูน่ากิน แต่ไม่มีเมนูให้ตรวจสอบราคา จึงบอกไปว่าอาจจะกลับมาใหม่ ขอเดินสำรวจอีกหน่อย
ถ้านั่งริมหน้าต่างแล้วเผลอหลับหัวก็จะโขกกับราวเหล็กเพราะถนนคดโค้งตลอดเส้นทาง
ถนนวิษณุปุระ ซึ่งเป็นถนนล้อมรอบเขตอุทยานลุมพินีวันในลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านกว้างอยู่ทางทิศเหนือและทิศใต้ บริเวณที่ผ่านลุมพินีบาซาร์ (อยู่ฝั่งด้านยาวทางทิศตะวันออกตอนล่างๆ) กำลังมีการก่อสร้างวางท่อทำให้มีฝุ่นคลุ้งเล็กน้อย ผมเดินข้ามไปยังหน้าประตูทางเข้าลุมพินีวัน ชื่อ “ลุมพินีวัน” ก็มาจากคำว่า “ลุมพินี” และ “วนา” ซึ่งวนาก็คือป่านั่นเอง
ป้ายชี้บอกว่าวิหารมายาเทวีและเสาหินอโศกแสดงตำแหน่งประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ห่างออกไปเป็นเส้นตรงระยะทาง 923 เมตร ซึ่งจากประตู 5 นี้ถือว่าใกล้กว่าประตูอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมด มีป้ายแสดงแผนที่ของตำบลลุมพินีและแผนผังเขตอุทยาน วัดพุทธของประเทศต่างๆ ล้วนตั้งอยู่ภายใน ทำความเข้าใจอยู่ครู่หนึ่งก็เดินกลับฝั่งไป เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะเข้าไปตอนนี้ แม้ว่าอุทยานจะปิดเวลา 3 ทุ่มก็ตาม
ร้านอาหารในละแวกนี้มีอยู่ไม่มาก ผมเลือกร้าน 365 Restaurant มีสัญลักษณ์ Tripadviser ติดอยู่ตรงกระจก แต่ผลักประตูเข้าไปไม่เห็นลูกค้าเลยสักคนเดียว ขอเมนูมาดูแล้วเลือกสั่งข้าวผัดผัก ราคา 150 รูปี, ไก่ซาเดโก ราคา 200 รูปี และเบียร์เนปาลยี่ห้อ Gorkha แบบ Strong ราคากระป๋องละ 250 รูปี
บริกรหนุ่มมาจากเมืองโปขรา ผมถามเขาว่าร้านอาหารที่บ้านคุณมีตั้งมากมายทำไมเลือกมาอยู่ลุมพินี เขาว่ามาที่นี่ได้แค่เดือนเดียวเท่านั้นแหละ เดี๋ยวก็จะกลับไปแล้ว เพราะที่โปขรากำลังจะเข้าไฮซีซั่น
ผมเดินกลับที่พักแล้วเปิดไวน์เนปาลยี่ห้อ Big Master ที่เหลือจากเมื่อคืนดื่มไป 1 แก้วก็เข้านอน หลับลงได้โดยง่าย เพราะความอ่อนเพลียจากการโยกร่างไปตามหลุมบ่อของถนนและแรงเลี้ยวโค้งของรถบัสเมื่อตอนกลางวัน
รุ่งขึ้นตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า แต่กว่าจะออกไปยังลุมพินีวันก็เกือบ 7 โมง รถสามล้อไฟฟ้าแบบหลังคาโค้งจอดเรียงแถวรอผู้โดยสารอยู่เกือบ 10 คัน ตรงหลังประตูทางเข้า โชเฟอร์ที่ควบตำแหน่งไกด์ชักชวนให้ใช้บริการ แต่ผมปฏิเสธ เพราะถนนกว้างและร่มรื่นน่าเดิน ต้นคูนสองข้างทางก็กำลังผลิดอก ลิงจ๋อ 4-5 ตัว โผล่ออกมาจากป่านั่งเล่นรับแดดอุ่น
พลางคิดว่าระยะทางไกลกว่านี้ก็เดินได้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |