ทนายหนุ่ม 'ลูกชาวนา' ขออาสาเป็นปากเสียง


เพิ่มเพื่อน    

        “พรรคคนธรรมดาแห่งประเทศไทย” ชื่อนี้อาจไม่คุ้นหูเท่าไหร่ เนื่องจากไม่ใช่พรรคใหญ่และใหม่ทั้งหลายที่เห็นผ่านสื่อบ่อยๆ แต่ถ้าย้อนกลับไปช่วงก่อนการรัฐประหารของ คสช. พรรคนี้เป็นพรรคใหม่ในขณะนั้นที่กล้าเสนอนโยบายแนวเสรีนิยมอย่างถึงพริกถึงขิงไม่แพ้ “พรรคอนาคตใหม่” ที่ดังอยู่ในปัจจุบัน นำโดย “ธนพร ศรียากูล” หัวหน้าพรรคคนธรรมดาฯ  แต่ด้วยระบบเลือกตั้ง ส.ส.บัตรใบเดียว ทำให้เขาตัดสินใจส่งผู้สมัคร ส.ส.เขต เฉพาะบางจังหวัดเท่านั้นในฐานะพรรคเล็ก ซึ่งหนึ่งในนั้นมี “มะยม-ปัณมาสน์ อร่ามเรือง” ผู้สมัคร ส.ส.เขต 7 จ.สุรินทร์ (อ.ปราสาท, พนมดงรัก, กาบเชิง) และนายทะเบียนพรรค คนรุ่นใหม่ใกล้ชิดชาวบ้าน อาสารับใช้พี่น้องคนธรรมดาฯ

เหตุที่สนใจการเมือง ลงสมัคร ส.ส.?

        ผมเป็นเด็กบ้านนอก บ้านเกิดอยู่ที่ จ.สุรินทร์ ครอบครัวผมเป็นชาวนา เข้ากรุงเทพฯ ครั้งแรกตอนอายุ 18 ปี เข้ามาเรียนรัฐศาสตร์ที่ ม.เกษตรศาสตร์ พอมาเรียนแล้วได้เจออะไรเยอะขึ้น อ่านหนังสือเยอะขึ้น ก็พบว่าสังคมไทยมันยังมีปัญหาความไม่เป็นธรรมอยู่มาก มันก็เกิดความคิดว่าอยากทำกิจกรรมทางการเมืองเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงปัญหาที่เราพบเจอ เลยตั้งกลุ่มกับเพื่อนชื่อกลุ่ม “เสรีเกษตรศาสตร์” เราทำกิจกรรมกันหลายเรื่อง ทั้งการไปร่วมชุมนุมทางการเมือง ปี 2552-2553 การทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย เช่น การเสวนาเรื่องกฎระเบียบชุดนักศึกษา การต่อต้านการสร้างเขื่อน อาจจะเป็นเพราะช่วงนั้นอ่านตำราแนวมาร์กซิสต์เยอะ เราก็จะต่อต้านในสิ่งที่เราเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง

        “จำได้ว่ากิจกรรมสุดท้ายเราไปประท้วงเรื่องเขื่อนแม่วงษ์ ซึ่งรัฐบาลตอนนั้นมีมติ ครม.ให้ทำการสร้างเขื่อน เราเห็นว่ามันเป็นการฉวยโอกาสที่จะสร้างเขื่อนในพื้นที่ที่จะทำลาย Core Area ของผืนป่าตะวันตก ผมกับเพื่อนเลยไปแสดงออกว่าเราไม่เห็นด้วย แล้วก็มีประเด็นความขัดแย้งกับอีกคณะ จนถูกมหาวิทยาลัยตั้งคณะกรรมการสอบ มีคำสั่งว่าผมผิดวินัยให้ลงโทษผม ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด เราแค่ไปแสดงออกว่าเราไม่ยอมรับในความไม่ชอบมาพากลของรัฐ มันเป็นจุดกำเนิดที่ผมคิดว่าผมต้องไปเรียนกฎหมาย เพื่อที่จะสามารถป้องกันตัวเองได้ เพื่อที่จะเพิ่มอำนาจในการต่อรองแก้ไขอะไรบางอย่างที่มันไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม และอีกอย่างเราสามารถช่วยคนอื่นได้ด้วย ช่วยคนที่เข้าไม่ถึงความยุติธรรม ช่วยคนที่ไม่มีอำนาจในการต่อรองเพราะเขาไม่รู้กฎหมาย”

        พอเรียนจบออกมาทำงาน ก็ไปเรียนต่อที่คณะนิติศาสตร์ ม.รามคำแหง และเลือกอาชีพทนาย พอได้มีโอกาสจากรุ่นพี่ให้ไปเป็นทนายอาสาที่สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ก็ได้เห็นปัญหาของพี่น้องที่ได้รับความเดือดร้อนจากการไม่รู้ข้อกฎหมาย ถูกเอาเปรียบโดยความไม่รู้ หรือจะเป็นในต่างจังหวัดก็มีคนมาปรึกษา อย่างเรื่องเงินกู้นอกระบบ เอาโฉนดที่ดินไปวางแล้วเจ้าหนี้เขาจะยึดที่ เราก็ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ใช้ความรู้ที่เรามีช่วยเหลือ แต่พอไปถึงจุดหนึ่งผมก็เข้าใจว่าทนายมันก็ช่วยเหลือคนได้ ช่วยให้เกิดการต่อสู้ที่เป็นธรรมมากขึ้น ช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความทุกข์ที่เขาไม่รู้ได้ แต่ในท้ายที่สุดมันจำกัดแค่พื้นที่ที่เราอาสาไปช่วยเหลือ ถ้าเข้าสู่สนามการเมือง น่าจะทำอะไรที่ช่วยเหลือคนอื่นได้มากกว่านั้น เพราะว่าขอบข่ายมันกว้างกว่า ถ้าผมมีส่วนเข้าไปกำหนดนโยบายของรัฐได้ มันก็จะช่วยคนได้ในวงกว้าง

เหตุที่เราเลือกพรรคคนธรรมดาแห่งประเทศไทย?

        ตอนทำกิจกรรมอยู่ที่ ม.เกษตรศาสตร์ ไปทำกิจกรรมต่อต้านเขื่อนแม่วงษ์ ได้รู้จักกับท่านหัวหน้าพรรคในการทำกิจกรรม แล้วโดนทางมหาวิทยาลัยตั้งกรรมการสอบด้วยกัน ตั้งแต่นั้นมาเลยติดต่อกันมาตลอด เมื่อท่านตั้งพรรค ผมก็มาช่วยเพราะมองว่าเป็นโอกาสที่จะได้ทำงานการเมืองภาคปฏิบัติจากที่เราเคยเรียนมาทางนี้ ผมมองว่าถ้าเป็นพรรคอื่นเขาก็มีตัวเลือกเยอะกว่า พรรคใหญ่อย่างเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ หรือพรรคใหม่อื่นๆ อาจมีตัวเลือกที่ดีกว่าผม แต่ผมอยู่ตรงนี้ก็ได้รับโอกาสจากท่านหัวหน้าพรรคให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ได้รับความไว้ใจ ทั้งที่เราอายุยังน้อย แล้วพรรคนี้ก็ธรรมดามากๆ ดูอย่างหัวหน้าพรรคท่านก็ใส่แต่เสื้อม่อฮ่อม (หัวเราะ) แต่การลงสมัครครั้งนี้ ไม่ว่าจะได้รับเลือกด้วยคะแนนมากน้อยแค่ไหน อย่างน้อยที่สุดผมก็จะได้รับรู้และเป็นตัวแทนในการพูดถึงปัญหาของพี่น้องประชาชนในจังหวัดบ้านเกิดไปสู่สาธารณะ และนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาตามนโยบายของพรรค

นโยบายที่สนใจและคิดว่าสามารถนำมาแก้ไขปัญหาให้ชาว จ.สุรินทร์?

        ทางพรรคมีนโยบายสนับสนุนให้ปลูกข้าวอินทรีย์ ให้ประกันราคาข้าวอินทรีย์สองเท่า เพราะว่าปัญหาของพี่น้องในพื้นที่ ตอนนี้การทำนาข้าวมันใช้ต้นทุนเยอะ ใช้ปุ๋ยใช้สารเคมีที่จะดูแลต้นข้าว จนกว่ามันจะแตกรวงแล้วก็ได้ข้าวมาสีกิน ก็ลงทุนไปเยอะ สนับสนุนให้มีการปลูกข้าวอินทรีย์ที่ไม่ต้องใช้ปุ๋ย ใช้ยาเยอะจนเกินไป แล้วก็ได้ข้าวที่มีคุณภาพครบ เนื่องจากทางภาคอีสานปลูกข้าวนาปีอยู่แล้ว ปลูกปีละครั้ง ถ้าปลูกข้าวอินทรีย์ที่ได้ข้าวมีคุณภาพ มันก็จะยกระดับข้าวสามารถควบคุมราคาได้ ทำให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น แต่ว่าถ้าจะให้ถึงราก ปัญหาหนี้สินของภาคเกษตรกรทางภาคอีสานทางบ้านผมมีปัญหามาจากหนี้สะสมจากการทำนา โดยที่ลงทุนไปเยอะ ราคาข้าวมันผันผวนขึ้นลงไม่เสถียร ปีนี้อาจจะราคาข้าวดี ปีหน้าอาจจะราคาข้าวต่ำ มันก็เลยเกิดหนี้สะสมในครัวเรือนจากการลงทุนไป

        “ถ้าจะแก้ปัญหานี้อย่างถึงรากคงจะต้องเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่น พรรคก็นำเสนอนโยบายปลูกกัญชาอย่างเสรี ให้เป็นพืชเศรษฐกิจไปเลย ทางพรรคมีนโยบายสนับสนุนเปลี่ยนจากการปลูกข้าวให้ไปปลูกกัญชา เพราะกัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจ สามารถนำมาสกัดทำเป็นยารักษาโรคที่มีราคาแพง รักษามะเร็งได้ ถ้าเปลี่ยนไปปลูกกัญชา เกษตรกรก็น่าจะมีรายได้มากขึ้น ต้องยอมรับว่าการปลูกข้าวไม่ได้ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ขึ้นมาจริงๆ เรียกว่ามันเป็นวัฏจักรก็ได้ มันไม่ได้ทำให้เกิดรายได้ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนได้จริงๆ มีคำพูดที่ว่า “ทำนาปีมีแต่หนี้กับซัง ทำนาปรังมีแต่ซังกับหนี้” ซึ่งสะท้อนความจริงของปัญหานี้”

อยากฝากอะไรถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่?

        ผมไม่ได้หวังว่าจะได้เป็นผู้แทนในการเลือกตั้งครั้งนี้ แค่หวังว่าจะได้พูด ได้นำเสนอนโยบายในการแก้ไขปัญหาของพี่น้องที่เป็นชาวนา ใช้ความรู้ที่เรามีช่วยอะไรที่พอจะช่วยได้ ซึ่งผมก็เป็นลูกชาวนา ก็คิดว่าเข้าใจหัวอกคนทำนาพอสมควร เพราะผมโตมากับวิถีชีวิตแบบนั้น แล้วก็ภาคภูมิใจที่เรียนจบมาวันนี้ได้เพราะข้าวที่พ่อแม่ปลูกมานี่แหละ แม้พรรคคนธรรมดาฯ จะเป็นพรรคเล็กๆ แต่เราแค่อยากจะนำเสนอนโยบายที่มันแก้ไขปัญหาได้อย่างถึงรากจริงๆ ที่อายุ 28 ปี ผมไม่ได้มองว่าความสำเร็จของผมคือการได้รับเลือกด้วยคะแนนท่วมท้น แต่ผมกลับมองว่าความสำเร็จของผมอยู่ที่การช่วยเหลือพี่น้องในพื้นที่ให้มีอำนาจในการต่อรองมากขึ้น เข้าถึงความยุติธรรมอย่างเสมอหน้ากัน และได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนพูดถึงปัญหาของพี่น้องในพื้นที่ สื่อสารปัญหาของพี่น้องในพื้นที่ไปสู่สาธารณะ เป็นตัวแทนในการทำให้เสียงเล็กๆ น้อยๆ ในต่างจังหวัด ในบ้านผมได้ดังขึ้นมา

        “พรรคของเรามีคำประกาศอุดมการณ์ว่า พรรคคนธรรมดาฯ จะทำหน้าที่เป็นเสียงของคนไม่มีเสียง Voice of the Voiceless สอดคล้องกับคำประกาศอุดมการณ์ของพรรคที่จะทำหน้าที่สื่อสารแทนพี่น้องในพื้นที่ เพื่อไปกดดันผู้ที่จะมาทำหน้าที่ผู้แทน ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ ให้เกิดคำสัญญาในการที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาตรงนี้ แค่นั้นก็ถือว่าเป็นความสำเร็จของผม”.

 

การศึกษา : ระดับปริญญาตรี 2 ใบ จากคณะสังคมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ในภาควิชารัฐศาสตร์ฯ สาขาการปกครอง และคณะนิติศาสตร์ ม.รามคำแหง ต่อมาได้รับใบอนุญาตว่าความรุ่นที่ 48

อาชีพ : ทนายความอาสา สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย และดำรงตำแหน่งนายทะเบียนพรรคคนธรรมดาแห่งประเทศไทย

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"