ทำไมอยู่ดีๆ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จึงประกาศในคำปราศรัยต่อสภาคองเกรสประจำปีที่เรียกว่า State of the Union (สภาวะแห่งรัฐ) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า
"The United States will never become a socialist country."
"สหรัฐอเมริกาจะไม่มีวันเป็นประเทศสังคมนิยม"
เป็นถ้อยแถลงที่สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนไม่น้อย เพราะไม่เคยมีใครบอกว่าประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งที่เป็นแม่แบบของระบอบทุนนิยมนี้จะมีแนวโน้มกลายเป็นสังคมนิยมแต่อย่างใด
มีแต่แนวทางวิเคราะห์ว่าประเทศคอมมิวนิสต์และสังคมนิยมทั้งหลายต่างหากที่จะโอนเอียงมาทางด้านทุนนิยม
หลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง นักวิเคราะห์ทั้งหลายประกาศด้วยซ้ำไปว่า ต่อแต่นี้ไปทุนนิยมจะชนะสังคมนิยมในทุกเวทีแล้ว
หนังสือดังที่สุดในช่วงนั้นชื่อ The End of History เขียนโดย Francis Fukuyama ที่เสนอทฤษฎีว่า "บทสรุปของประวัติศาสตร์" ยืนยันแล้วว่าทุนนิยมของโลกเสรีได้ชัยชนะเหนือสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์โดยปราศจากความสงสัย
สหภาพโซเวียตล่มสลาย, จีนหันมาใช้ระบอบ "สังคมนิยมแบบการตลาด" และเวียดนามก็เจริญรอยตามจีนทางด้านเศรษฐกิจ
เหลือแต่เกาหลีเหนือที่เป็นปราการด่านสุดท้ายของคอมมิวนิสต์ และวันนี้คิมจองอึนก็ทำท่าว่าจะกำลังเลียนแบบจีนและเวียดนามเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากระบอบการปกครองแบบรวมศูนย์
ไฉนทรัมป์จึงโพล่งออกมาว่าอเมริกาจะไม่มีวันเป็นสังคมนิยม
ผมวิเคราะห์ว่าเพราะทรัมป์กลัวเด็กสาววัย 30 คนหนึ่งที่ชื่อ Alexandria Ocasio-Cortez ที่กำลังผลักดันให้มีกฎหมายเพื่อลดช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยของสหรัฐฯ อย่างเป็นระบบ
เธอไม่ใช่เป็นเพียงแค่นักเคลื่อนไหวหรือ activist ธรรมดา เพราะเธอสามารถสร้างปรากฏการณ์ที่สร้างความสั่นสะเทือนการเมืองสหรัฐฯ ด้วยการชนะการเลือกตั้งได้เป็น ส.ส.ของเขตเลือกตั้งที่ 14 ของนิวยอร์ก
โดยสามารถเอาชนะ ส.ส.พรรคเดโมแครตเดิม Joe Crowley ซึ่งเป็นตัวแทนของเขตนี้มา 10 สมัย และท้ายสุดก็ชนะเลือกตั้งโดยตีพ่ายผู้สมัครรีพับลิกันที่ชื่อ Anthony Pappas ในการเลือกตั้งกลางเทอมสดๆ ร้อนๆ นี่เอง
Alexandria ชนะใจคนนิวยอร์กด้วยการประกาศว่า เธอจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้การเมืองสหรัฐฯ ด้วยการผลักดันกฎหมายให้คนรวยจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคมสหรัฐฯ
เธอเสนอว่าใครก็ตามที่มีรายได้เกินปีละ 10 ล้านเหรียญ หรือ 320 ล้านบาท จะต้องเสียภาษีรายได้ส่วนบุคคล 70% ขึ้นไป
คนกลุ่มนี้ก็คือ 1% ของประชากร เป็นเศรษฐีที่ถูกมองว่าเอาเปรียบสังคมมาตลอด อีกทั้งนักการเมืองระดับชาติที่ผ่านมาก็ไม่มีความกล้าหาญทางการเมืองเพียงพอที่จะออกกฎหมายที่จะเก็บภาษีจากคนเหล่านี้
เพราะนักการเมืองมีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่กล้าทำอะไรนักธุรกิจร่ำรวยทั้งหลายเพราะต่างคนต่างพึ่งพากันและกัน จนทำให้ชนชั้นกลางและคนยากไร้ตกอยู่ในฐานะย่ำแย่มาตลอด
Alexandria เสนอว่าเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อสังคม จะผลักดันกฎหมายให้ประชาชนทุกคนได้เรียนฟรี รักษาพยาบาลฟรี รับรองการว่าจ้างและให้ทุกครอบครัวได้มีสิทธิ์พักร้อนยาวสำหรับการคลอดบุตรและการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่น
ล่าสุดเธอเสนอฎหมายเข้มเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมสำหรับการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020 นี้ ชื่อ The Green New Deal โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนของอเมริกาให้เหลือศูนย์ใน 10 ปีข้างหน้า
แม้เธอจะไม่มีสิทธิ์เข้าแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในครั้งหน้านี้ แต่ Alexandria ก็เขย่าวงการเมืองด้วยการเสนอร่างกฎหมาย ที่จะทำให้ผู้สมัครประธานาธิบดีทุกคนต้องตอบคำถามว่า พวกเขาและเธอมีแนวทางอะไรที่จะแข่งกับ "วิสัยทัศน์" ของนักการเมืองผู้หญิงอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกาคนนี้
ทั้งหมดนี้คือ "การเมืองเสรีนิยม" ในยุคดิจิตอลที่ระบอบทุนนิยมเองก็จะต้องหันมาให้ความสำคัญ หากจะทำให้ผู้คนทั้งหลายยังมีความเลื่อมใสในนักการเมืองที่อาสามารับใช้ประชาชน
มิได้เป็น "สังคมนิยม" อย่างที่ทรัมป์ดูเหมือนจะอ้างถึง
นักข่าวถาม Alexandria ว่ามีความเห็นอย่างไรกับคำประกาศของทรัมป์ในเรื่องนี้ เธอตอบสั้นๆ ง่ายๆ ตรงๆ ว่า
"ดิฉันว่าทรัมป์เริ่มจะกลัวว่าตัวเองกำลังจะถูกถล่มจากทุกทิศทุกทาง...และเขาไม่มีข้อเสนออะไรที่จะโต้แย้งกับแนวทางของเราเลย"
การเมืองของคนรุ่นใหม่ที่อเมริกากำลังเป็นกระแสที่น่าเกาะติดอย่างยิ่งครับ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |