ลั่นปกป้องป่าสุดชีวิต วิเชียรเผยเป้า200จนท. โพลหวั่นช่วย'เปรมชัย'


เพิ่มเพื่อน    


    "หน.วิเชียร" ลั่น จนท.ทุ่งใหญ่นเรศวร 200 ชีวิตพร้อมดูแลผืนป่า อุ่นใจ ฉก.ลาดหญ้าร่วมทำงาน "ทหาร-ตร." คุมเข้มด่านถาวรบ้านพุน้ำร้อนเมืองกาญจน์  ไม่พบ "เปรมชัย" กับพวกหนีออกชายแดน  "ปทส." เรียก "นพดล" ที่ปรึกษาอิตาเลียนไทยสอบ 16 ก.พ. เค้นจุดประสงค์ประสานเจ้าสัวเข้าป่า "กลุ่มศิลปิน" จัดศิลปะเสือดำกระตุ้นต่อมอนุรักษ์ธรรมชาติ โพลชี้ "ปชช." ห่วงผู้ใช้ กม.หรี่ตาช่วยผู้มีอิทธิพลรอดคดี 
    เมื่อวันอาทิตย์ นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก จ.กาญจนบุรี นำเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร 4 นาย ซึ่งเป็นชุดจับกุมนายเปรมชัย กรรณสูต  ประธานบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมพวกอีก 3 คน ผู้ต้องหาลักลอบล่าเสือดำและสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เดินทางไป สภ.ทองผาภูมิ เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม
    นายวิเชียรกล่าวว่า ตนและเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรยังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ โดยทุกคนมีขวัญกำลังใจดีเยี่ยม ต้องขอขอบพระคุณผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น และประชาชนทุกท่านที่ให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งพวกเราเจ้าหน้าที่กว่า 200 ชีวิต จะปกป้องผืนป่าแห่งนี้อย่างสุดความสามารถ       "ผมและเจ้าหน้าที่ทุกคนมีขวัญกำลังใจที่ดีเยี่ยมในการปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่หวั่นเกรงอิทธิพลใดๆ รวมทั้งตอนนี้ฝ่ายความมั่นคงก็ส่งกำลังทหาร ฉก.ลาดหญ้า ร.29 พล.ร.9 มาสนับสนุนร่วมภารกิจในการปกป้องผืนป่าและสัตว์ป่าร่วมด้วย" หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตกกล่าว
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้สั่งกำชับให้ทุกอุทยานที่มีพื้นที่ติดต่อกับทุ่งใหญ่ฯ ให้เข้มงวดกวดขัน ในการดูแลรักษาพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เพื่อป้องกันการบุกรุกป่าและล่าสัตว์ป่า เนื่องจากพื้นที่ทุ่งใหญ่ฯ ซึ่งเป็นมรดกโลก มีอาณาเขตติดต่อกับอุทยานต่างๆ เป็นลักษณะผืนป่าตะวันตกผืนใหญ่
    มีรายงานว่า นายเทวินทร์ มีทรัพย์ หน.อุทยานฯ เขาแหลม ได้รับรายงานว่า มีนายทุนบุกรุกที่ดินบริเวณป่าบ้านเรด้าร์ ม.4 ต.ปรังเผล อ.สังขละบุรี ซึ่งเป็นเขตพื้นที่อุทยานฯ เขาแหลม จึงพร้อมด้วยนายสุภาพ งามทองเหลือง นำกำลังไปตรวจสอบ พบมีการบุกรุกพื้นที่โดยใช้รถปาดหน้าดินจำนวน 1 ไร่ 1 งาน จึงเข้าควบคุมตัวนายวิน ไม่มีนามสกุล ชาวเมียนมา คนขับ พร้อมรถไถยี่ห้อคูโบต้าสีแดง สอบสวนนายวินสารภาพว่ารับจ้างจากนายทุนคนหนึ่งให้มาปรับพื้นที่ จึงนำตัวนายวินพร้อมรถไถส่งพนักงานสอบสวน สภ.สังขละบุรี ดำเนินคดี
    ที่บริเวณด่านถาวรบ้านพุน้ำร้อน หมู่ 12 ต.บ้านเก่า อ.เมืองฯ จ.กาญจนบุรี ซึ่งมีพื้นที่ติดเขตแนวชายแดนไทย-เมียนมา และเป็นประตูการค้าของไทยกับท่าเรือทวายของเมียนมา ซึ่ง บมจ.อิตาเลียนไทยฯ เป็นผู้ได้รับสัมปทานในโครงการก่อสร้างทางหลวงระหว่างประเทศสายทวาย-กาญจนบุรี จึงมีความเป็นไปได้ที่หากนายเปรมชัยและพวกจะหลบหนี ก็อาจใช้เส้นทางดังกล่าว เพราะน่าจะมีความสะดวกมากกว่าเส้นทางอื่นๆ โดยเจ้าหน้าที่ได้พยายามตรวจสอบและสืบหาข่าวในทางลับอย่างต่อเนื่อง
ไม่พบ'เปรมชัย'หลบหนี
    แหล่งข่าวให้ข้อมูลว่า ล่าสุดสายข่าวที่เดินทางจากฝั่งบ้านพุน้ำร้อนไปยังฝั่งเมียนมา ได้เข้าไปแฝงตัวเพื่อหาข่าวจากผู้ที่ใกล้ชิดภายในฝั่งเมืองทวาย ประเทศเมียนมา เบื้องต้นไม่พบกลุ่มบุคคลดังกล่าวแม้แต่รายเดียว ส่วนกระแสข่าวที่ออกไปนั้น คาดว่าเป็นการปล่อยข่าว
    อย่างไรก็ตาม จากการเสนอข่าวเช่นนี้ออกไป ทำให้หน่วยงานที่ทำงานในพื้นที่ต้องปฏิบัติงานเข้มข้นมากกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณด่านถาวรบ้านพุน้ำร้อนจะต้องมีการตรวจเข้มงวดกับรถที่เข้า-ออกทุกคัน แม้แต่ประชาชนที่เคยเดินทางเข้า-ออกปกติ โดยในช่วงนี้จะต้องถูกตรวจค้นอย่างละเอียด เพื่อป้องกันบุคคลทั้ง 4 ที่อาจจะอาศัยช่องทางนี้ลักลอบหนีออกนอกประเทศ
    พล.ต.สนิธชนก สังขจันทร์ ผบ.พล.ร.9 และ ผบ.กกล.สุรสีห์ ในฐานะเป็นหน่วยที่ดูแลพื้นที่ในเขตต้องรับผิดชอบ 4 จังหวัด ซึ่งเป็นพื้นที่ติดเขตชายแดนตะวันตกทั้งหมด รวมทั้งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก แนวเขตเทือกเขาตะนาวศรี ซึ่งมีความยาวกว่า 400 กิโลเมตร โดยได้มอบหมายให้ พ.อ.สราวุธ ไชยสิทธิ์ ผบ.ร.29 และ ผบ.ฉก.ลาดหญ้า กองกำลังสุรสีห์ ซึ่งเป็นหน่วยที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่โดยตรง เฝ้าตรวจสอบอย่างเข้มข้นร่วมกับทุกฝ่าย เพื่อป้องกันมิให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวหลบหนีออกนอกประเทศได้
    แหล่งข่าวสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ระบุว่า หากกลุ่มของนายเปรมชัยจะเดินทางหลบหนีออกนอกประเทศจริง คงไม่ใช้เส้นทางด่านปกติ เพราะเจ้าหน้าที่มีการตรวจตราคุมเข้ม แต่น่าจะใช้เส้นทางธรรมชาติเท่านั้น เนื่องจาก จ.กาญจนบุรีมีแนวชายแดนติดต่อประเทศเมียนมา ระยะทางประมาณ 370 กิโลเมตร มีช่องทางเข้า-ออกตามแนวชายแดนประมาณ 43 จุด 
    "หลังมีกระแสข่าวเรื่องนี้ ทางเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบในทางลับแล้วว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวหลบหนีออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านจริงหรือไม่ แต่ก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ" แหล่งข่าวจาก สตม.ระบุ
    ด้าน พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี (ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี) กล่าวว่า ในวันที่ 12 ก.พ. พล.ต.ต.กฤษณะ ทรัพย์เดช รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (รอง ผบช.ภ.7) พร้อมด้วยตนเอง และ พ.ต.อ.พูนศักดิ์ ประเสริฐเมธ รอง ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นผู้ควบคุมดูแลคดีนี้ จะเดินทางไปที่ สภ.ทองผาภูมิ เพื่อประชุมและติดตามความคืบหน้าของคดี ทั้งในส่วนการสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องและรายละเอียดในสำนวนการสอบสวน 
    ขณะที่ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าของสำนวนคดีนายเปรมชัยและพวกร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก ยังเป็นของ สภ.ทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) ร่วมสอบสวนเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ที่เกี่ยวข้องในทางคู่ขนาน รวมทั้งสืบสวนในทางลับ ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้มาก 
    "คดีนี้ ปทส.จะรับมาเป็นเจ้าของคดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่จะเป็นผู้พิจารณา ซึ่ง ปทส.เป็นหนึ่งในหน่วยงานของตำรวจสอบสวนกลาง มีอำนาจเป็นหน่วยงานกลางในการสอบสวนคดีทั่วประเทศ ซึ่งหากมีการโอนคดีมา ก็พร้อมที่จะรับมาดำเนินการต่อ" ผบช.ก.กล่าว
    พล.ต.ต.ปัญญา ปิ่นสุข ผบก.ปทส. กล่าวว่า ขั้นตอนของคดีตอนนี้อยู่ระหว่างสอบสวนและรวบรวมข้อมูลเพื่อหาข้อเท็จจริง ขอเวลาเจ้าหน้าที่ทำงานสักระยะ ซึ่งเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกครั้งที่ 1 ให้นายนพดล พฤกษะวัน ที่ปรึกษาบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด ( มหาชน) อดีตข้าราชการกรมอุทยานแห่งชาติฯ ซึ่งถูกระบุเป็นคนประสานให้นายเปรมชัยกับพวกเข้าพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ มาพบพนักงานสอบสวนที่ บก.ปทส. ในวันที่ 16 ก.พ.นี้
    "จนถึงขณะนี้ยังคงไม่สามารถติดต่อนายนพดลได้ หากไม่มาตามหมายเรียก ก็จะออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป ส่วนรายละเอียดคดีนายเปรมชัยเรื่องการล่าสัตว์หรือยิงสัตว์เป็นอย่างไร ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 7 จะเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบ โดยทาง บก.ปทส.จะช่วยสนับสนุนทำคดีในส่วนของการขออนุญาตเข้าพื้นที่เขตอุทยานฯ" ผบก.ปทส.กล่าว
เรียกสอบที่ปรึกษาเจ้าสัว
    พ.ต.อ.ทัศนภูมิ จารุปรัช รอง ผบก.ปทส. กล่าวว่า การสอบสวนนายนพดล ปทส.จะมุ่งไปในประเด็นประวัติการรับราชการ ปัจจุปันทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของนายเปรมชัยหรือไม่ ประสานงานขั้นตอนการเข้าอุทยานกับใคร มีการแจ้งวัตถุประสงค์การเข้าไปอย่างไร รวมถึงมีค่าตอบแทนหรือไม่
    ส่วน พ.ต.อ.สุวัฒน์ อินทสิทธิ์ รอง ผบก.ปทส. กล่าวว่า เชื่อนายนพดลน่าจะเดินทางเข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตามที่ได้นัดหมายไว้ เนื่องจากนายนพดลก็ต้องการที่จะเคลียร์ตัวเองจากคดีดังกล่าวกับพนักงานสอบสวน และอาจอยากให้ข้อมูลในฝั่งของตัวเองกับสื่อมวลชนด้วย แต่หากการคาดการณ์ผิดพลาด นายนพดลไม่มาให้ปากคำภายในวันที่ 16 ก.พ.นี้ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนอาจออกหมายเรียกอีกครั้งหนึ่ง แต่หากยังฝ่าฝืนไม่เข้ามาให้ปากคำตามหมายเรียกในครั้งที่ 2 ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนระเบียบวิธีการพิจารณาการสอบสวน
    พ.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวว่า สำหรับการสอบปากคำเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่เกี่ยวข้องกับการจับกุมนายเปรมชัยอีกจำนวนหนึ่ง พนักงานสอบสวนจะเดินทางไปสอบร่วมกับพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ เพื่อความสะดวกของพยาน 
    "หลังสอบพยานครบทุกปาก ชุดสืบสวนสอบสวนของ ปทส.และ สภ.ทองผาภูมิ จะประชุมสรุปข้อมูลเพื่อรวบรวมเข้าไปในสำนวนคดีเดียวกัน" รอง ผบก.ปทส.กล่าว
    ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ศิลปินกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นำโดยนายวสันต์ สิทธิเขตต์ ศิลปินและนักเคลื่อนไหวทางสังคม และเครือข่ายกว่า 10 คน อาทิ นายหงษ์จร เสน่ห์งามเจริญ ศิลปินอิสระ,  นายเมืองไทย บุษมาโร ศิลปินสีน้ำมัน, นายมงคล  เปลี่ยนบางช้าง ศิลปินอิสระ รวมตัวกันแสดงพลัง โดยนำงานศิลปะที่เกี่ยวกับกรณีการจับกุมนายเปรมชัยพร้อมพวกล่าสัตว์ป่า ทั้งเสือดำและสัตว์ป่าอื่น อาวุธปืน และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ธรรมชาติแก่ประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมแสดงดนตรี โดยนายอิทธิพล วาทะวัฒนะ หรืออี๊ด ฟุตปาธ ศิลปินเพื่อชีวิตชื่อดัง ซึ่งมีประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจ
    นายวสันต์กล่าวถึงแนวคิดในการจัดงานครั้งนี้ว่า เมื่อทางกลุ่มได้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกคนในกลุ่มต่างสร้างผลงานศิลปะที่ใช้เสือดำเป็นสื่อกลางในการแสดงออกโดยไม่ได้นัดหมาย ซึ่งเพียงแค่รูปเสือดำเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอจะเป็นตัวแทนที่จะส่งสารไปยังสังคมในครั้งนี้ 
    "การออกมาเคลื่อนไหวในครั้งนี้ แม้จะไม่สามารถสร้างผลกระทบอันยิ่งใหญ่ได้ แต่ด้วยกระแสสำนึกของคนในสังคม ผมเชื่อว่าพลังของการรวมตัวกันในวันนี้จะกระจายไปสู่สังคมและมีส่งผลต่ออนาคตของกระแสการอนุรักษ์ธรรมชาติในประเทศไทยต่อไป" นายวสันต์กล่าว
    ตัวแทนศิลปินกล่าวว่า ปัญหาการเข้าไปล่าสัตว์ในพื้นที่อนุรักษ์ไม่ใช่เรื่องใหม่ อย่างในอดีตที่ผ่านมา เมื่อปี 2556 ก็เคยเกิดกรณีที่พรานชาวเวียดนามเข้าไปล่าเสือโคร่งในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง โดยได้รับการอนุญาตจากข้าราชการระดับสูง ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว นอกจากเป็นการลดจำนวนสัตว์หายากในธรรมชาติแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เองก็มีหลายรายที่ต้องบาดเจ็บ และเสียชีวิตจากการปะทะกับคนเหล่านี้ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์ของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งงบประมาณของภาครัฐที่ยังคงน้อยมากเมื่อเทียบกับพื้นที่ที่พวกเขาเหล่านี้ต้องดูแล
    “ประเทศไทยมีหลายๆ กรณีที่เคยเกิดขึ้น แต่ไม่ได้มีการดำเนินการทางกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา อาทิกรณีนาฬิกาหรู หรือการยืมเงินจากเสี่ยกำพลจำนวน 300 ล้านบาท ที่ยังไม่มีอะไรปรากฏมาอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งผมและทางกลุ่มในฐานะที่เป็นศิลปิน ที่ต้องการส่งสารไปยังสังคมเท่าที่เราสามารถจะทำได้ ซึ่งกรณีเสือดำในครั้งนี้ ผมเชื่อว่าเป็นการปลุกให้สังคมตื่น เช่นเดียวกับกรณีของคุณสืบ นาคะเสถียร” ศิลปินผู้นี้ระบุ
    นายหงษ์จรกล่าวว่า เหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นมาตลอด เพียงแต่ไม่เป็นข่าว ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ เป็นการสื่อไปยังสังคมให้ทราบว่าทั้งสัตว์ป่าและพื้นที่ป่าของประเทศต่างมีน้อยเต็มที ซึ่งพวกเราทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจกันต่อต้านสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น  
    "การตื่นตัวในครั้งนี้ผมถือว่าเป็นพลุอันหนึ่ง ที่ทำให้เราทุกคนมองย้อนกลับไปสู่คุณสืบ นาคะเสถียร ที่ได้สละชีวิตเพื่อปกป้องผืนป่าในประเทศไทย และผลสุดท้ายแล้วเมื่อธรรมชาติถูกทำลาย ผลกระทบย่อมย้อนกลับมาสู่สังคมเมืองที่เราอาศัยอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้" ศิลปินอิสระระบุ
ใช้ กม.รุนแรงแก๊งล่าสัตว์
    วันเดียวกัน ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง การลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตหวงห้าม โดยสำรวจระหว่างวันที่ 8-9 ก.พ.2561 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตหวงห้าม 
    เมื่อถามถึงความเหมาะสมของบทลงโทษในการลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตพื้นที่หวงห้าม (มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ) พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 51.28 ระบุ เหมาะสม เพราะเป็นบทลงโทษที่สมเหตุสมผลกับการกระทำอยู่แล้ว เป็นการสร้างความเกรงกลัวให้กับผู้ที่จะลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตหวงห้าม ขณะที่บางส่วนระบุ ให้ดูที่เจตนาของผู้ที่กระทำ อาจจะทำไปด้วยความไม่ตั้งใจ รองลงมา ร้อยละ 47.52 ระบุไม่เหมาะสม เพราะบทลงโทษน้อยเกินไป อยากให้เพิ่มบทลงโทษให้มากกว่านี้ เช่น จำคุก 5-20 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และร้อยละ 1.20 ไม่ระบุ ไม่แน่ใจ
    ด้านความเชื่อมั่นต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาและปราบปรามผู้ลักลอบล่าสัตว์ป่า หรือบุกรุกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พบว่า ร้อยละ 19.04 ระบุมีความเชื่อมั่นมาก, ร้อยละ 31.04 ระบุค่อนข้างมีความเชื่อมั่น, ร้อยละ 36.96 ระบุไม่ค่อยมีความเชื่อมั่น, ร้อยละ 11.60 ระบุไม่มีความเชื่อมั่นเลย และร้อยละ 1.36 ไม่ระบุ ไม่แน่ใจ
    สำหรับวิธีการแก้ไขปัญหาการลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและการบุกรุกป่าไม้ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 54.32 ระบุมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและมีบทลงโทษที่รุนแรงขั้นเด็ดขาด รองลงมาร้อยละ 33.60 ระบุมีการเสริมสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์และหวงแหนป่าไม้และสัตว์ป่าให้แก่ประชาชน, ร้อยละ 23.20 ระบุมีการปลูกฝังค่านิยมที่ดีให้กับเยาวชนในการอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์ป่า,  ร้อยละ 13.12 ระบุมีการส่งเสริมเผยแพร่ด้านความรู้เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าของสัตว์ป่าและป่าไม้,     ร้อยละ 11.04 ระบุมีการสร้างและพัฒนาช่องทางในการรับแจ้งข้อมูลหรือเบาะแสให้มีความสะดวก หลากหลาย,  ร้อยละ 6.96 ระบุมีการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตราของเจ้าหน้าที่, ร้อยละ 4.64 ระบุอื่นๆ ได้แก่ ควรมีมาตรการไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไปในอุทยานโดยเด็ดขาด นอกจากเจ้าหน้าที่เท่านั้น มีการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ให้มากขึ้น เพิ่มงบประมาณและสวัสดิการให้กับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงาน ขณะที่บางส่วนระบุว่า ไม่มีวิธีไหนเลยที่แก้ได้ และร้อยละ 1.28 ไม่ระบุ ไม่แน่ใจ
    ถามถึงความเชื่อมั่นต่อการบังคับใช้กฎหมายกับประชาชนทุกระดับว่าจะมีความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 68.88 ระบุไม่มีความเชื่อมั่น เพราะการบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มงวด กฎหมายมีช่องโหว่ในการบังคับใช้ ขณะที่บางส่วนระบุว่าผู้บังคับใช้กฎหมายละเลยต่อหน้าที่ เจ้าหน้าที่เกรงกลัวผู้มีอิทธิพล ขณะที่ร้อยละ 27.84 ระบุมีความเชื่อมั่น เพราะกฎหมายมีความชัดเจนในการบังคับใช้อยู่แล้ว การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ผู้บังคับใช้กฎหมาย มีความความเที่ยงตรง ยุติธรรม และมีจิตสำนึกที่ดีอยู่แล้ว และร้อยละ 3.28 ไม่ระบุ ไม่แน่ใจ
    เช่นเดียวกับสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง คนไทยกับการรักษ์สัตว์ป่า กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพ จำนวนทั้งสิ้น 824 ราย ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 4-10 ก.พ.ที่ผ่านมา พบส่วนใหญ่หรือร้อยละ 78.6 ชื่นชมเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า รองลงมาคือร้อยละ 35.9 ชื่นชมประชาชนโลกโซเชียล และร้อยละ 26.7 ชื่นชมสื่อมวลชน ในขณะที่ร้อยละ 6.6 ชื่นชมเจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
    เมื่อถามถึงการตื่นตัวของคนไทยในการรักษาสัตว์ป่า พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.7 ระบุตื่นตัวและตื่นตัวเพิ่มขึ้นกว่าอดีตในการรักษาสัตว์ป่า ในขณะที่ร้อยละ 10.3 ระบุแย่ลง และเมื่อจำแนกตามเพศ พบผู้หญิงมีสัดส่วนสูงกว่าชายเล็กน้อยที่ระบุคนไทยตื่นตัวและตื่นตัวเพิ่มขึ้นกว่าอดีต คือร้อยละ 91.1 ต่อร้อยละ 88.3 นอกจากนี้ เมื่อจำแนกตามช่วงวัยระหว่างเด็กเยาวชนกับ ผู้ใหญ่ พบว่าเด็กเยาวชนมีสัดส่วนสูงกว่าผู้ใหญ่ในการรักษาสัตว์ป่า คือร้อยละ 91.6 ต่อร้อยละ 88.1 ตามลำดับ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"