คดีต้าแงบานปลาย ฟ้องผบก.สุพรรณ


เพิ่มเพื่อน    


    ทนายความพาครอบครัว "ฝน" หนุ่มปัญญาอ่อน เข้าแจ้งความกองปราบฯ ดำเนินคดี ผบก.สุพรรณบุรียันลูกน้อง รวม 12 นาย ทำผิดมาตรา 157 งง ตำรวจสอบคำปัญญาอ่อนรู้เรื่องจนตั้งข้อหาแล้วมาปล่อยภายหลัง
    เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์นี้ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ ได้พานายทองขวัญ ฉิมมา หรือฝน พร้อมด้วยนายสมจิตร ฉิมมา และนางพะยูง สร้อยทอง พ่อและแม่ของนายฝน ที่ตกเป็นผู้ต้องหาพรากผู้เยาว์ คดีการเสียชีวิตของ ด.ช.ซูลุยผิว หรือต้าแง เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ พล.ต.ต.คมศักดิ์ สุมังเกษตร ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี, พ.ต.อ.กฤษณ์ วาฤทธิ์ รอง ผบก.ภ.จว.สุพรรณบุรี, พ.ต.อ.สมเดช เกษมสุข ผกก.สอบสวน ภ.จว.สุพรรณบุรี, พ.ต.อ.รณกร ประคองศรี ผกก.สภ.สระยายโสม พร้อมด้วยพนักงานสอบสวนและผู้ปฏิบัติรวม 12 นาย ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, มาตรา 166 ปลอมแปลงเอกสาร, มาตรา 200 กลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษ และมาตรา 135 หน่วงเหนี่ยวกักขัง
    นายอนันต์ชัยเปิดเผยว่า ในคดีนี้ ผลการตรวจวินิจฉัยของแพทย์จากสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ สรุปว่า นายฝนปัญญาอ่อนระดับกลาง หรือเทียบเท่ากับเด็กอายุ 7 ปี มีโรคทางอารมณ์จากอาการทางระบบสมอง โรคลมชักจากภาวะทางจิตเวชและระบบสมอง ทำให้ผู้รับการตรวจไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ไม่สามารถตอบคำถามได้ตรงตามคำถาม ไม่สามารถคิดอะไรซับซ้อน การตัดสินใจไม่ดีคล้ายเด็ก และมีปัญหาการควบคุมอารมณ์เมื่อถูกกระตุ้น เห็นควรรับประทานยาอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันปัญหาจากอารมณ์ และควรได้รับการดูแลจากญาติอย่างใกล้ชิด โดยนายฝนได้อยู่ในการดูแลวินิจฉัยของแพทย์ ที่ประกอบไปด้วยจิตแพทย์ พยาบาลจิตเวช นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยาคลินิก และนักกิจกรรมบำบัด เป็นเวลากว่า 38 วัน 
    นายอนันต์ชัยระบุว่า คดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานผิดพลาด หลังเกิดเหตุแทนที่จะนำตัวนายฝนส่งแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัย ทั้งที่รู้ว่านายฝนสติไม่สมประกอบ แต่กลับเรียกไปแจ้งข้อกล่าวหาพรากผู้เยาว์ โดยไม่มีประจักษ์พยานหลักฐานที่สามารถเชื่อมโยงว่านายฝนเป็นผู้ก่อเหตุ หลังเกิดเหตุวันที่ 25 ธันวาคม 61 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายฝนไปสอบปากคำก่อนที่จะปล่อยตัวกลับมา รุ่งขึ้นวันที่ 26 ธันวาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจมานำนายฝนพร้อมพ่อไปสอบสวน อ้างจะสอบในฐานะพยาน แต่กลับนำตัวนายฝนไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยมีการบันทึกวิดีโอ ทั้งที่ตอนแรกบอกว่าสอบในฐานะพยาน ไม่ใช่ผู้ต้องหา 
    ต่อมาวันที่ 28 ธันวาคม ตำรวจได้ไปขอศาลออกหมายจับนายฝนคดีพรากผู้เยาว์ โดยมี พล.ต.ต.คมศักดิ์ ผบก.ภ.จว.สุพรรณบุรี เป็นหัวหน้าเจ้าพนักงาน ก่อนนำหมายจับไปแจ้งให้นายฝนทราบที่สถาบันกัลยาณ์ฯ โดยอ้างว่านายฝนได้อ่านหมายจับด้วยตัวเองพร้อมพิมพ์ลายนิ้วมือ ซึ่งเป็นการบันทึกการจับกุมโดยมิชอบ กระทั่งวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ร.ต.อ.วีรยุทธ สุขแสง พนักงานสอบสวน สภ.สระยายโสม ได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อขอเลิกคำร้องฝากขังและปล่อยตัวผู้ต้องหาออกมา 
    นายอนันต์ชัยกล่าวว่า นอกจากแจ้งความเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 12 นายแล้ว ยังมีแพทย์ที่ต้องแจ้งความเพิ่ม เนื่องจากลงความเห็นว่านายฝนสามารถให้การได้ ทั้งที่สมองพัฒนาการเท่ากับเด็กอายุ 5 ขวบ 
    "ตำรวจไทยเก่งที่สุดในโลก รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ตำรวจสอบสวนคนปัญญาอ่อนรู้เรื่อง ต้องไปเรียนการสอบสวนใหม่ หรือไม่ก็เลิกไปเลย นอกจากนี้ยังพบว่ามีการข่มขู่ โดยมีคนในหมู่บ้านแจ้งมาที่ผม ว่าได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงโทร.มาถามพ่อของนายฝน ว่าคดีไปถึงไหนแล้ว ถ้าเป็นคดีความระวังจะเดือดร้อน หลังจากนี้จะฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย โดยเรียกค่าเสียหายจำนวน 10 ล้าน เพราะคดีนี้ครอบครัวของนายฝนได้จ้างผมเป็นทนายแล้วในราคา 1 บาท"
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนันต์ชัยได้เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวสอบถามนายฝนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทราบว่านายฝนไม่สามารถตอบคําถามได้ อย่างเช่น รู้จักกับ ด.ช.ต้าแงมาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว ด.ช.ต้าแงเป็นตำรวจ แต่ขณะเดียวกันนายฝนอ้างว่าในวันที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับไปนั้น ถูกใส่กุญแจมือ ถูกตบหน้า และถูกเอาบุหรี่จี้ที่แขนจนรู้สึกเจ็บ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"