เที่ยวตามฝันครั้งหนึ่งในชีวิต ชะอำ-หัวหิน


เพิ่มเพื่อน    

(ผู้ร่วมกิจกรรมเที่ยวตามฝันครั้งหนึ่งในชีวิต)

    “ชะอำ หัวหิน” อาจไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวใหม่สำหรับใครหลายคน หรือบางคนอาจจะเคยไปมากกว่าหนึ่งครั้ง เพราะไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นัก ใช้เวลาเดินทางแค่ 2-3 ชม.ก็ถึง ยิ่งช่วงนี้อากาศในกรุงเทพฯ กำลังแย่ เพราะถูกฝุ่นปกคลุมไปทั้งเมือง ก็น่าจะออกมาสูดอากาศบริสุทธ์นอกกรุงกัน
ทริปที่เราไปมาล่าสุดเป็นกิจกรรม “เที่ยวตามฝันครั้งหนึ่งในชีวิต” ภายใต้โครงการ “เมืองไทย ใครๆ ก็เที่ยวได้” ที่จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้พากลุ่มอาสาสมัครกรุงเทพมหานคร (อสส.) และกลุ่มอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ที่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมีผลงานดีเด่นตลอดปี 2561 จำนวน 20 คน เที่ยวฟรีเส้นทางชะอำ-หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไปช่วงวันที่ 3-4 ก.พ.ที่ผ่านมานี่เอง เป็นทริปชิลๆ ไม่เหนื่อย ไปแต่สถานที่ยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็นแหลมผักเบี้ย ฟาร์มแกะชะอำ เพลินวาน ฯลฯ เพราะอย่างที่บอกก่อนหน้านี้ว่าอาจจะมีคนส่วนหนึ่งที่ยังไม่เคยมา พวกพ่อๆ แม่ๆ ผู้ร่วมทริปนี้บางคนยังไม่เคยมาเลยก็มี

    วันแรกออกเดินทางกันตั้งแต่ 7-8 โมง พอมากันครบทั้งกลุ่มเรา กลุ่ม อสส. และกลุ่ม อปพร.แล้ว รถก็มุ่งหน้าสู่ จ.เพชรบุรี ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง ระหว่างทางก็พูดคุยกัน เล่นเกมกันบ้างในช่วงแรกๆ แต่พอสักพักเสียงเริ่มเงียบสงบลง คล้อยหลับไปตามๆ กัน

(สิ้นสุดทางเดินป่าชายเลนแหลมผักเบี้ยจะเป็นจุดชมวิวทะเล)

    แห่งแรกที่มาถึงคือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านแหลม จ.เพชรบุรี หรือเรียกสั้นๆ คือแหลมผักเบี้ย ที่นี่มีความสำคัญที่คนไทยทุกคนควรมาสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะเป็นหนึ่งในโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ดำเนินงานเกี่ยวกับการบำบัดน้ำเสีย เราและชาวคณะนั่งรถรางเพื่อชมโครงการ ระหว่างทางมีเจ้าหน้าที่มาคอยอธิบาย ตั้งแต่จุดแรกก็พบเห็นบ่อน้ำขนาดใหญ่สีเขียว ส่งกลิ่นเหม็น เจ้าหน้าที่อธิบายว่า บ่อนี้เป็นบ่อสกปรกสุด มาจากภาคครัวเรือน ทั้งน้ำจากการซักผ้า ล้างจาน อาบน้ำ หรือจะเป็นการชำระล้างต่างๆ ส่งมาจากตัวเมือง มาให้ทางโครงการบำบัด ซึ่งมี 4 ระบบ ที่เป็นวิธีธรรมชาติช่วยธรรมชาติ

(บ่อบำบัดน้ำเสียในโครงการพระราชดำริ ที่แหลมผักเบี้ย)

  “ระบบแรก คือ บ่อบำบัดน้ำเสีย เวลาที่มีน้ำเสียไหลมาแต่ละบ่อก็จะไหลล้นผ่านอาคารระบายน้ำด้านบน และเชื่อมต่อกันทางตอนล่างของบ่อถัดไปเป็นลำดับก่อนที่จะนำคืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ระบบที่สอง คือ ระบบพืชและหญ้ากรองน้ำเสีย ซึ่งให้พืชช่วยบำบัดน้ำเสีย โดยการให้น้ำเสียไหลผ่านแปลงหญ้าและหญ้าที่ดีที่สุดก็คือ หญ้าธูปฤาษี ที่ช่วยปล่อยออกซิเจนจากรากลงไปเติมน้ำให้กลายเป็นน้ำดีได้ และเมื่อครบ 90 วันก็จะตัดพืชออก พอตัดแล้วก็นำไปให้กลุ่มแม่บ้านทำเครื่องสานสร้างรายได้ ระบบที่สาม คือ ระบบพื้นที่ชุ่มน้ำเทียม กลไกก็จะคล้ายกับระบบพืชและหญ้ากรอง แต่จะแตกต่างกันด้วยวิธีการ และระบบที่สี่ คือ ระบบแปลงพืชป่าชายเลน โดยการให้ธรรมชาติบำบัดด้วยตัวของมันเองตามระยะเวลาการขึ้นลงของน้ำทะเลในแต่ละวัน อาศัยระบบรากของพืชป่าชายเลนช่วยปล่อยก๊าซออกซิเจนเติมให้กับน้ำเสียและจุลินทรีย์ในดิน” เจ้าหน้าที่กล่าว

(ชมธรรมชาติป่าชายเลน ที่แหลมผักเบี้ย)

    เราเดินไปเรื่อยๆ จากบ่อแรกกลิ่นแรงๆ มาบ่อถัดไปก็ไม่มีกลิ่นแล้ว ผู้ร่วมทริปหลายคนบอกว่า พ่อหลวงของเราเป็นครูผู้มากด้วยวิชา ไม่น่าเชื่อว่าจะเปลี่ยนจากน้ำเสียสกปรกให้ดีขึ้นได้ ระหว่างฟัง รถรางก็มาจอดยังจุดเส้นทางศึกษาธรรมชาติระบบนิเวศป่าชายเลน เราลงจากรถและค่อยๆ ทยอยเดินเข้าไปในป่าโกงกางระยะทางประมาณ 850 เมตร เหมือนจะไกลอยู่พอประมาณ แต่บอกเลยว่าไม่ต้องกลัวร้อน เพราะตลอดสองข้างทางที่เดินจะเต็มไปด้วยต้นโกงกางและต้นแสมมากมาย ที่แทบจะแย่งพื้นที่กันเจริญเติบโตสูงท่วมหัวจนโค้งรับกันทั้ง 2 ด้าน เสมือนหลังคาช่วยกันแดดได้เป็นอย่างดี
    ระหว่างเดินเรามองเห็นเจ้าปลาตีนโผล่ขึ้นมาแป๊บเดียวมันก็หายไป ไม่ทันให้เราได้ทักทายแล้วก็ขอแชะภาพเลย ไหนจะพวกปูแสม ปูก้ามด้ามที่อยู่ในนี้ก็ยังไม่เห็น ได้ยินแต่เสียงที่พวกมันส่งออกมาเสียงดังเหมือนคนดีดนิ้วเป็นระยะๆ คนที่มาด้วยกันเขาบอกว่านั่นคือเสียง “กุ้งดีดขัน” เวลาที่มันดีดตัวเพื่อเคลื่อนตัวเองอยู่บริเวณโคลน และทั้งหมดนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลน

(ด้านหลังฟาร์มแกะ มีวิวภูเขาสลับซับซ้อน)

    สูดอากาศบริสุทธิ์จากป่าชายเลน และรับประทานมื้อกลางวันเสร็จ ตกบ่ายเปลี่ยนบรรยากาศสู่กลางแจ้งที่ “Swiss ship farm” ฟาร์มแกะแห่งใหม่ในชะอำ ที่จำลองบรรยากาศให้เหมือนกับอยู่สวิตเซอร์แลนด์เหมือนกับฟาร์มแกะหลายแห่งที่ให้บรรยากาศเหมือนเมืองในยุโรป และช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่พ่อๆ แม่ๆ อสส.และ อปพร.ได้ปล่อยความเป็นวัยหนุ่มสาวออกมา บางคนบอกว่าไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ค่อนข้างจะตื่นเต้น ไม่ว่าจะให้หญ้ากับเจ้าแกะ และหามุมถ่ายรูปสวยๆ ที่มีหลายมุมเหลือเกิน ตั้งแต่ทางเข้าก็เป็นซุ้มไม้ไผ่ มีไอเทมบ้านผีสิง หุ่นยนต์ตัวใหญ่ทันสมัย มีห้องโชว์ภาพสามมิติ ไฮไลต์น่าจะเป็นบริเวณกังหันตั้งตัวอักษรชื่อฟาร์มขนาดใหญ่ มีเก้าอี้นั่ง ด้านหลังเป็นวิวของภูเขาสลับซับซ้อน สวยยังกะภาพวาดธรรมชาติ ฟิน! สุดๆ

(ให้หญ้าแกะ Swiss ship farm)

    ออกจากฟาร์มแกะก็เข้าที่พักใกล้ๆ กับชายหาดชะอำ เป็นช่วงเวลาที่หลายคนได้พักผ่อน บางคนไปเดินเล่นริมหาด บางคนก็ขอเวลางีบสักนิด เพราะตื่นเช้ามากคงเหนื่อยๆ เพลียๆ ส่วนค่ำมาก็มาก็ร่วมปาร์ตี้ย้อนวัยหวาน ลิ้มรสเมนูบุฟเฟต์อาหารทะเล มีกุ้ง ปลาหมึก ปูตัวใหญ่ๆ ให้เลือกรับประทาน ทั้งเล่นเกม ร้องคาราโอเกะ เต้นกันจนลืมอายุไปเลย บางคนงัดสเต็ปท่าเต้นยุคโบราณ ยุคดิสโก้เธคเลยทีเดียว

(ยกบางแสนมาไว้ในเพลินวาน หัวหิน ผสานกับบรรยากาศต้อนรับตรุษจีน)

    มาชะอำแล้วจะไม่ไปหัวหินไม่ได้ เพราะอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ ซึ่งจุดหมายของเช้าวันถัดมาคือ เพลินวาน หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไปซื้อของฝากและเดินเล่นถ่ายรูปที่ตลาดย้อนยุค คิดว่าน่าจะถูกใจหลายคนที่ได้มาย้อนวันวานของตนเอง แอบได้ยินมาว่าที่นี่มีการปรับปรุงสถานที่เล็กน้อย ตอนที่ไปเพลินวานได้เนรมิตสถานที่ผสมผสานกับบรรยากาศบางแสน โดยยกเอาของดีเมืองชลมาไว้ที่นี่เพียบ ไม่ว่าจะข้าวหลามหนองมน ชุดสวยๆ พลิ้วๆ สำหรับสาวๆ ใส่ริมทะเล ชุดว่ายน้ำ แว่นตากันแดด ฯลฯ ส่วนบริเวณด้านหน้านี้ก็ยังมีม้าหมุนให้นั่งเล่นย้อนวัยเหมือนเดิม

(สักการะหลวงพ่อทวด ที่วัดห้วยมงคล)

    ปิดท้ายทริปด้วยการขอพรสักการะหลวงพ่อทวดก่อนจะกลับ กทม. ซึ่งเป็นองค์จำลองหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นที่เคารพสักการบูชา และเป็นที่พึ่งทางใจของเหล่าพุทธศาสนิกชน ด้วยเรื่องราวอิทธิปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) ที่พุทธศาสนิกชนในภาคใต้ให้ความ เคารพ เลื่อมใสมาเป็นเวลานาน พอกราบไหว้เสร็จเราได้ถามผู้ร่วมทริปว่ามาเที่ยวครั้งนี้เป็นยังไงบ้าง หลายคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าสนุกมาก และมีความสุขมากที่ได้ย้อนวัยหนุ่มสาว และได้มาเที่ยวสถานที่ดังๆ ที่คนเขามากัน โดยรวมแล้วประทับใจมากๆ
    อย่างไรก็ตาม กิจกรรมครั้งนี้เป็นเพียงกิจกรรมเปิดตัวครั้งแรก ต่อไปก็จะมีกิจกรรมอื่นๆ ที่ทาง ททท.ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรทางการท่องเที่ยว ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวกองทัพบก ศูนย์อำนวยการท่องเที่ยวกองทัพเรือ กองทัพอากาศ และแหล่งท่องเที่ยวของพันธมิตรอื่นๆ กว่า 100 แห่ง เปิดพื้นที่ท่องเที่ยวในเขตทหารให้เที่ยวฟรีและมอบส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือน ก.ค.2562.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"