กระแส Boycott-Thailand ในโลกโซเชียลมีเดีย ที่เกิดอาการพลิกกลับกลายเป็นกระแส Save-Thailand แบบชนิด พลิกหลังตีนเป็นหน้ามือ อันเนื่องมาจากกรณีนักฟุตบอลบาห์เรนนั้น ว่าไปแล้ว...คงไม่น่าจะเป็นเพราะความต้องการหวังจะช่วยรัฐบาล หรือช่วยเซฟ บิ๊กตู่ ล้วนๆ แต่น่าจะมาจากความต้องการที่ช่วยชาติ ช่วยเซฟประเทศไทย นั่นแหละเป็นสำคัญ...

                                                            ---------------------------------------------------------

      ถึงได้มีการนำเอา สติ เอา ปัญญา มาใช้ในการพิจารณา ใคร่ครวญ ทบทวนเรื่องราวโดยละเอียดรอบคอบ จนเห็นว่าถ้าหากไม่มีสิ่งที่เรียกๆ กันว่า หมายแดง จากตำรวจสากลออสเตรเลียค้างคาเอาไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ได้มีการประสานงานจากทางการบาห์เรน ขอให้จับตัว ส่งตัว อดีตพลเมืองบาห์เรนกลับไปประเทศตัวเอง ตำรวจไทย หรือ กระทรวงต่างประเทศไทย ท่านคงไม่ได้คิดจะไปรบกวนความสุข ความสบาย ความต้องการที่จะสดชื่น รื่นเริง จากการฮันนีมูนในเมืองไทยของนักฟุตบอลบาห์เรนรายนี้อยู่แล้วแน่ๆ...

                                                             ---------------------------------------------------------

      และถึงแม้ตำรวจสากลออสเตรเลียจะมา ถอนหมายแดง ในภายหลัง...แต่ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันได้เข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมของ ศาลไทย อันเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตยของประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว คงต้องปล่อยศาลท่านว่าของท่านไปตามหลักฐาน พยาน โดยไม่ต้องเสียเวลาไปด่ารัฐบาล ด่า บิ๊กตู่ อะไรต่อมิอะไรให้ต้องเมื่อยเนื้อ เมื่อยตัว โดยใช่เหตุ การช่วยชาติ ช่วยเซฟประเทศไทย ไปตามข้อมูล ข้อเท็จจริงทำนองนี้นี่เอง เลยกลายเป็นตัวพลิกกระแส Boycott-Thailand ให้กลายมาเป็นกระแส Save-Thailand แถมยังกลายเป็น กองหนุน ที่มีประสิทธิภาพเอามากๆ ในการช่วยเซฟรัฐบาล เซฟ บิ๊กตู่ ไปด้วยในตัว...

                                                               --------------------------------------------------------

      ส่วนผู้ที่โกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาทรัฐบาล และ บิ๊กตู่ นั้น...คงหนีไม่พ้นต้องกลับไปหา มุกใหม่ ที่ควรต้องเข้าท่า เข้าทาง ต้องสอดคล้อง กลมกลืน ยิ่งไปกว่านี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ไม่ควรที่จะนำเอาความโกรธ ความเกลียดรัฐบาล มาผสมปนเป จนต้องออกอาการหนักไปทางเกลียดชาติ ชังชาติ กันเลยถึงขั้นนั้น เพราะไม่ใช่แต่เฉพาะ รัฐบาลบิ๊กตู่ ซึ่งยังไม่ถึงกับต้องเหลือทน เกินทน อะไรกันมากมาย กระทั่ง รัฐบาลมาดูโร  ของประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งตามกฎหมายและตามครรลองประชาธิปไตยแห่งประเทศเวเนซุเอลา ที่ทำเอา เงินเฟ้อ ไปเป็นล้านๆ เปอร์เซ็นต์ ถูกครหานินทาเรื่องเสรีภาพ สิทธิมนุษยชนมาโดยตลอด แต่เมื่อไหร่ที่เกิดการนำเอาความเกลียดชาติ ชังชาติ ไปผสมปนเปกับความเกลียดรัฐบาล หรือประธานาธิบดีด้วยแล้ว โอกาสที่จะแพ้ จะพัง กันไปทั้งชาติ ทั้งประเทศ มันจึงสามารถเห็นๆ กันอยู่ในทุกวันนี้...

                                                                ----------------------------------------------------------

      คือกลายเป็นการเปิดช่อง เปิดโอกาส ให้ ต่างชาติ โดยเฉพาะคุณพ่ออเมริกาเขานั่นแหละ ที่เคยคิดจะโค่นล้ม เล่นงาน รัฐบาลเวเนซุเอลามาตั้งแต่เกือบ 30 ปีที่แล้ว หรือตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 โน่นเลย พยายามยุแหย่ ก่อการรัฐประหารต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนแท้ๆ  และเมื่อยังไม่สบช่อง สบโอกาส ก็เลยต้องรอไปจนกระทั่งชาวเวเนซุเอลาบางกลุ่ม บางเหล่า เริ่มยกระดับความโกรธ เกลียด เคียดแค้นรัฐบาล จนกลายมาเป็นความเกลียดชาติ ชังชาติ ในท้ายที่สุดจนได้ โดยเฉพาะเมื่อความเจ็บปวด รวดร้าว ทรมาน ของ ตัวกู-ของกู มันเริ่มตกผลึกได้ที่ ด้วยเหตุเพราะปัญหาทางเศรษฐกิจอันมีที่มาจาก การแซงก์ชั่น ของอเมริกานั่นแหละเป็นหลักใหญ่ เวเนซุเอลาในทุกวันนี้...ก็เลยมีสภาพใกล้ๆ จะเป็น ซีเรีย เข้าไปทุกที...

                                                                 --------------------------------------------------------

      หรือเกิดการหันไปให้การรับรอง ประธานาธิบดีที่มีที่มาจากการสถาปนาตัวเอง อย่างนาย ฮวน ไกวโด้ หรือ ควายโด้ หรือ กวยโต ฯลฯ ก็แล้วแต่ โดยคุณพ่ออเมริกานั่นแหละเป็นหัวหอก ตามด้วยบรรดาประเทศสมุนและบริวารทั้งหลาย โดยถ้าหากประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งคิดจะสู้ คิดจะขัดขืนต่อ การแทรกแซงจากต่างชาติ โอกาสที่จะเกิดการส่ง ทหารอเมริกัน จากชายแดนโคลอมเบีย เข้าไปไล่ทุบ ไล่บี้ รัฐบาลนาย มาดูโร ถึงภายในใจกลางเวเนซุเอลา ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย เพราะดังที่ผู้นำอเมริกัน อย่าง ทรัมป์บ้า ท่านว่าเอาไว้แล้วนั่นแหละว่า กรรมวิธีทางทหาร นั้น...ยังคง วางเอาไว้บนโต๊ะ...

                                                                  -----------------------------------------------------------

      โอกาสที่จะเกิดการสู้รบระหว่าง ทหารต่างชาติ กับ ทหารเวเนซุเอลา หรือแม้แต่ประชาชนชาวเวเนซุเอลา ชนิดเลือดนองช้างกันไปเป็นปีๆ แบบเดียวกับ ซีเรีย ที่รบกันมา 7 ปี 8 ปีก็ยังไม่แล้วเสร็จ ผู้คนต้องล้มตายไปเป็นแสนๆ อพยพหลบหนีออกนอกประเทศไปเป็นล้านๆ ย่อมมีสิทธิ์เกิดขึ้นได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ และถึงแม้ประธานาธิบดีที่ชาวเวเนซุเอลา บางกลุ่ม บางราย โกรธๆ เกลียดๆ จนกลายเป็นการเกลียดชาติ ชังชาติ ของตัวเองไปด้วย จะถูกขจัดกวาดล้างให้พ้นไปจากสายตาก็ตาม แต่นั่นก็ใช่ว่า  ประธานาธิบดีที่มาจากการแต่งตั้งตัวเอง โดยต่างชาติให้การสนับสนุนนั้น จะรักชาติ รักชาวเวเนซุเอลา อย่างลึกซึ้ง บริสุทธิ์ใจ ก็หาไม่ โอกาสที่จะเกิดการยก บริษัทน้ำมันแห่งชาติ ที่เรียกกันย่อๆ ว่า PDVSA ไปให้กับบริษัทน้ำมันอเมริกัน ภายใต้กระบวนการ แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ให้เป็นของเอกชน มาถึง ณ ขณะนี้...ต้องเรียกว่ามีแนวโน้มสูงเอามากๆ!!!

                                                                  -------------------------------------------------------------

      พูดง่ายๆ ว่า...ภายใต้ความโกรธ ความเกลียดรัฐบาล ที่ถูกยกระดับพัฒนาให้กลายเป็นความเกลียดชาติ ชังชาติ ไปจนได้นั้น สุดท้ายแล้ว ย่อมนำไปสู่ การแพ้ไปทั้งประเทศ หรือ พังไปทั้งประเทศ อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย ด้วยเหตุนี้...ก็เอาเถอะ ถึงจะโกรธๆ เกลียดๆ รัฐบาล ไม่ชอบขี้หน้า บิ๊กตู่ กันไปถึงขั้นไหน แต่ก็น่าจะปลุก สติ เพื่อให้เกิด ปัญญา ในการแยกแยะ พิจารณา ใคร่ครวญข้อมูล ข้อเท็จจริง ให้รอบคอบให้ละเอียดถี่ถ้วน อย่างน้อย...ก็เพื่อช่วย Save-Thailand ไว้ให้เป็นที่อยู่ ที่อาศัย ที่เกิดและเติบโตของตัวเองและลูกๆหลานๆ ได้ต่อไป...

                                                                  -----------------------------------------------------------

      ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Seneca... No one love his country for its size or eminence, but because it’s his own.- ไม่มีใครรักประเทศตนเพราะด้วยขนาด หรือความมีชื่อมีเสียงเท่านั้น แต่ด้วยเหตุเพราะประเทศนั้น เป็นประเทศของเขา

                                                                    --------------------------------------------------------