ต้องบอกว่า เดิม “ฮาคีม อัล อาไรบี” อาจเป็นเพียงอดีตนักฟุตบอลทีมชาติบาร์เรนที่คนไทยแทบไม่มีใครรู้จัก แต่ยามนี้กลับกลายเป็น “ดาวเด่น” ขึ้นมาทันหูทันตา ที่สำคัญกรณีของ “ฮาคีม” ยัง สะท้อนถึงวุฒิภาวะและความนึกคิดของบรรดา “เอ็นจีโอ” และ “นักการเมือง” ที่เกิดและอาศัยในประเทศไทยจน “ล่ำซำ” ได้เป็นอย่างดี ดูง่ายๆ อย่างอดีตนักการเมืองเดือนตุลาฯ บางคนที่วาดหวังเป็น “นายกฯ” แต่ไม่เคยเข้าใกล้เสียที ก็ฟาดงวงฟาดงาบอกว่าหากเป็นยุคประชาธิปไตย (อีกแล้ว) จะไม่ให้เกิด ภาพ “ฮาคิม” ใส่โซ่ตรวนขึ้นศาลเพื่อพิจารณาคำร้องส่งผู้ร้ายข้ามแดน ทั้งที่จริงแล้วเป็น “กุญแจเท้า” และที่สำคัญต้องไม่ลืม ”ประเทศไทย” มีอธิปไตยและมีกฎหมายที่ใช้บังคับ ไม่ใช่ยุค “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” นะจ๊ะ ...๐ ก็ไม่รู้ว่าอดีตนักการเมืองฟากฝั่งประชาธิปไตยที่อาศัยเสื้อคนตุลาฯ หากินจนทุกวันนี้ ที่ เคยเป็น “รัฐมนตรี” มาหลายยุคหลายสมัย แค่นี้ก็ไม่รู้เรื่อง หรือคิดเพียงจะโหนและหากินกับเรื่อง “ทอล์กออฟเดอะทาวน์” กันแน่ เอ่ยถึงเรื่อง “ประชาธิปไตย” แล้ว ในช่วงหน้าข้าวหน้าเหล้าไม่เอ่ยอ้างถึงกรณีบางพรรคโวยวายว่าไม่ควรนำวลี “เผาบ้านเผาเมือง” มาตีกินไม่ได้ แหม! แล้วที่พรรคเครือข่ายคุณพี่หากินกับคำว่า “ประชาธิปไตย” แล้วกล่าวโทษฝ่ายตรงข้ามเป็น “เผด็จการ” นั้น ไม่อุบาทว์กว่าเหรอ เพราะอย่าลืมว่าตอนนี้อยู่ใน “สนามแข่งขัน” เดียวกัน เมื่อเข้าคิวลงสมัคร และจับฉลากเหมือนๆ กัน มันจะมี “เผด็จการ-ประชาธิปไตย” ตรงไหนมิทราบ ...๐ กรณี “พรรคการเมือง” ชูนโยบายด้านปากท้อง โดยระบุว่าจะพาชาติพ้น "วิกฤติเศรษฐกิจ” กันอีก ก็ต้องบอกว่า “เกินจริง” หรือเปล่าจ๊ะ นี่ไม่ใช่วิกฤติลอยค่าเงินบาท หรือวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์นะ แค่เศรษฐกิจ “ฝืดเคือง ทำมาค้าไม่คล่อง” เท่านั้น แต่กลับโหมโรงตีประเด็นเหมือนเป็น “วิกฤติ” ทุกหย่อมหญ้า อย่างนี้ก็ไม่รู้ว่า “กกต.” จะมองว่าเป็นการโฆษณาเกินจริงและใส่ร้ายหรือไม่อย่างไร เพราะสารพัดนโยบายที่ออกมาต่างบอกว่ามากอบกู้วิกฤติกันทั้งนั้น ...๐ หันมาเรื่อง “สถิติการสมัคร ส.ส.” วันที่ 3 กันบ้าง ซึ่งล่าสุด “พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา” เลขาธิการ กกต. แจงว่า มีผู้มาสมัคร ส.ส.แบ่งเขตเพิ่มอีก 599 คน รวม 3 วัน มีมาสมัครแล้ว 66 พรรค รวมทั้งสิ้น 7,409 คน ส่วน ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) มีผู้มายื่นสมัคร 8 พรรค รวม 3 วันมีผู้สมัครรวม 10 พรรค 579 คน แต่มีพรรคผ่านการสมัคร 5 พรรค จำนวน 355 คน เท่ากับ กกต.ในยามนี้มีเงินค่าสมัครแล้ว 77,640,000 บาท และเชื่อว่าเมื่อจบวันศุกร์ที่ 8 ก.พ. ยอดผู้สมัครก็น่าจะสร้างสถิติใหม่ รวมถึงยอดเงินก็น่าจะทะลุ 100 ล้านบาทแน่ๆ ส่วนจะไปแตะ 200 ล้านหรือเปล่า ก็น่าลุ้นเช่นกัน ...๐ พูดถึงการเมืองไม่เอ่ยถึงหลักการเรื่องนายกฯ ของ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ที่ล่าสุดก็อาจทำให้พรรคร่วมอุดมการณ์ จากการ “มโน” ในตอนแรกๆ ที่ว่าบรรดาสารพัด “พรรคเพื่อแม้ว” จะจับมือกันล้มพรรคพลังประชารัฐนั้น อาจต้องเกิดอาการอีหลักอีเหลื่อ ซะแล้ว เพราะ “ปิยบุตร” ระบุชัดว่า “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” และ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หากรับขึ้นบัญชีนายกฯ ของ พปชร. ไม่ถือเป็นแคนดิเดตนายกฯ เนื่องจากไม่ได้เป็น ส.ส. ถือเป็นคนนอกเหมือนกัน!!! งานนี้ก็อาจทำให้ “พรรคเพื่อไทย” ต้องกุมขมับเพิ่มขึ้นมาเสียแล้วหากในการเปิดสภาเพื่อโหวตนายกฯ ที่จะเสนอชื่อ “ชัชชาติ” เข้าชิง ...๐ หันมาเรื่อง “ฝุ่นพิษ” PM 2.5 กันบ้าง แม้จะมีข่าวดีมาบ้าง แต่ก็น่าจะฟังคำเตือนจาก “นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา” คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ที่บอกว่า “เร็วเกินไปหากจะบอกว่าสถานการณ์ค่าฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ของ กทม.และปริมณฑลได้รับการแก้ไขดีแล้ว” ซึ่งถือเป็นการเตือนที่น่ารับฟังอย่างยิ่ง และยิ่งเห็นกรณี ขสมก.ที่เที่ยวติดป้ายในรถว่า เพื่อร่วมแก้ปัญหาฝุ่นพิษ จึงยังไม่ขึ้นค่าโดยสาร เพื่อส่งเสริมให้ใช้ขนส่งสาธารณะให้มากขึ้น ก็ได้แต่ขำกลิ้ง เพราะหากช่วยแก้ไขปัญหาจริง ก็ ไม่ควรนำรถร้อนออกมาวิ่งในยามนี้ เพราะเท่ากับไม่ได้ช่วย แต่กลับเป็นการทำร้ายชีวิตคนด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะในเส้นทางที่มีการก่อสร้างรถไฟฟ้าอย่างเส้นสุขาภิบาล 3-รามคำแหง อย่างสาย 519 หรือ 22 ส่วนที่จะอ้างว่าเพื่อให้คนมีรายได้น้อยเป็นทางเลือกนั้น  ขสมก.ก็ควรช่วยเหลือในการลดค่าโดยสารในเส้นทางพิเศษเหล่านี้ได้มิใช่เหรอ หรือเห็นว่าคนจนก็ต้องรับกรรมไป งานนี้ก็ต้องวาน “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รมว.คมนาคม และ “ประยูร ช่วยแก้ว” รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการ ขสมก. น่าจะตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างดี ...๐