Karlskirche (St.Charles Church) โบสถ์โรมันคาธอลิคที่ว่ากันว่ามีความโดดเด่นที่สุดในกรุงเวียนนาหากเทียบกับบรรดาโบสถ์สไตล์บาโร้กด้วยกัน
ตั๋ว U Bahn หรือรถไฟไต้ดินของกรุงเวียนนาที่คุ้มค่ามากคือชนิดราคา 13.30 ยูโร หรือประมาณ 500 บาท ใช้ได้ทุกสายเป็นเวลา 48 ชั่วโมง วัยรุ่นสาวที่สถานี Erdberg บอกให้ผมนั่งสาย 3 ไปจนถึงสถานีLandstrasa แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นสาย 4 ไปลงที่สถานี Kettenbruckengasse จากนั้นก็เดินหาโฮสเทลเอา ทุกอย่างดำเนินไปตามคำอธิบายของสาวท้องถิ่น ออกจากสถานีนี้ผมเดินย้อนไปอีกนิดเดียวก็ถึง Wombat City Hostel At The Naschmarkt ที่จองไว้ตอนอยู่บนรถบัส
สาวสวยรีเซ็พชั่นยื่นคูปองเวลคัมดริงก์ให้ เธอขอบัตรนักศึกษาไว้สำหรับประกันคีย์การ์ด ผมบอกเธอว่า“ไม่มีเพราะจบมานานหลายปีแล้ว”เธอทำหน้าแปลกใจ “ถ้างั้นบัตรอะไรก็ได้ที่มีรูปคุณอยู่ในนั้น” ผมจึงยื่นบัตรประชาชนพลเมืองไทยให้
ไม่ได้หมายความว่าเธอมองว่าเราหน้าเด็กนะครับ แต่คงเพราะผู้เข้าพักที่นี่ส่วนมากเป็นนักศึกษา ผมเองก็ไม่กล้าสู้ราคาโรงแรมทั่วไป และบรรดาโฮสเทลหรือเกสต์เฮาส์นั้นตอบโจทย์คนหนุ่มสาวที่ท่องเที่ยวคนเดียวได้ดีกว่ามาก นอกจากเรื่องราคาแล้วก็ยังหาความบันเทิงใจได้ง่ายอีกด้วย
ผมขึ้นห้องไปอาบน้ำแล้วเดินลงมายังบาร์ของโฮสเทลเพื่อแลกเวลคัมดริงก์ มีน้ำอัดลม ไวน์ และเบียร์ ผมเลือกเบียร์ ซึ่งเป็นเบียร์สดแก้วเล็กยี่ห้อOttakringerจิบได้ครึ่งแก้วก็รู้สึกอ่อนเพลีย คิดว่ากำลังจะป่วยในไม่ช้า สาเหตุน่าจะมาจากเชื้อไข้ของใครบางคนที่ทิ้งไว้ในรถบัสจากกรุงปรากให้ผมรับช่วงต่อ เพราะหลังขึ้นรถไม่นานก็รู้สึกแสบในลำคอแบบแปลกๆ
ราวสี่ทุ่มแข็งใจนั่งรถไฟใต้ดินไปยังสถานี Karlsplatz แล้วเปลี่ยนเป็นสาย 1 ต่อไปยังสถานี Stephansplatz เดินขึ้นมาเจอ “มหาวิหารเซนต์สตีเฟน” ขรึมขลังและอลังการอยู่ตรงหน้า(เรียกกันในภาษาเยอรมันว่า Stephandomและ St.Stephen’s Cathedral ในภาษาอังกฤษ)นี่คือสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีความสำคัญมากที่สุดในกรุงเวียนนา ราชวงศ์ฮับส์บวร์ก (Habsburg Dynasty) แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต่อเนื่องมาถึงจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญมาเนิ่นนาน ก่อสร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 ในสไตล์ผสมระหว่างโรมาเนสค์และโกธิค หลังคาหลากสีของโบสถ์ทำให้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของเมือง
สถานีรถไฟใต้ดิน Karlplatz
ไม่ไกลกับมหาวิหารเซนต์สตีเฟนคือบ้านเลขที่ 5 ของถนน Domgasse อดีตอพาร์ตเมนต์ของ “โวล์ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ท” คีตกวีคนสำคัญของโลก อพาร์ตเมนต์แห่งนี้เป็นนิวาสถานเดียวในกรุงเวียนนาของโมสาร์ท (จากจำนวนมากกว่าสิบแห่ง) ที่ยังคงสภาพอยู่ ซึ่งนักประพันธ์อัจฉริยะเคยใช้ชีวิตในกรุงเวียนนาระหว่างปี ค.ศ. 1781 – 1791 หลังจากที่เขาเดินทางมาจากเมืองซาลซ์บวร์กบ้านเกิดเพื่อความท้าทายที่มากขึ้น ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า Mozarthaus Wien(Mozart House Vienna) ซึ่งได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงผลงานและชีวิตของโมสาร์ท ทั้งยังเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตในบางโอกาสอีกด้วย
ที่มุมหนึ่งระหว่างยืนดูอะไรเพลินๆ “แจ็คกี้ ชาน, แจ็คกี้ ชาน”(เฉิน หลง) เมื่อหันไปตามเสียงพูดจึงรู้ว่าเป็นวัยรุ่นชาย 2 คนนั่งกินไอศกรีมอยู่ที่ฐานน้ำพุ แล้วพูดขึ้นอีกว่า “แจ็คกี้ ชาน” ผมเลยบอกไปว่าผมเป็นคนไทย ไม่ได้เป็นคนจีนฮ่องกง “เรามีโทนี่ จา คุณรู้จักมั้ย” ทั้งคู่ส่ายหน้า
สนทนากันครู่หนึ่งได้ความว่าพวกเขามาจากตุรกีเพื่อเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเวียนนา ตอนนี้พักอาศัยในเขต 10 ของกรุงเวียนนา พอผมถามว่า“มาเวียนนาควรไปเที่ยวที่ไหน” เขาตอบว่า“เวียนนา เขต 10”มารู้ทีหลังว่าเป็นย่านชาวต่างชาติ ข้าวของราคาไม่แพง แต่มีอัตราเฉลี่ยการเกิดอาชญากรรมสูงกว่าเขตอื่น
ร้านอาหารทยอยปิด จนกินอะไรไม่ทัน ต้องลงเอยด้วยแฮมเบอร์เกอร์ที่แม็คโดนัลด์ แล้วนั่งรถไฟใต้ดินกลับที่พัก สั่งเบียร์ Ottakringer มา 1 ไพนต์ในบาร์ของโฮสเทลราคามิตรภาพ3 ยูโรกว่าๆ ดีเจกำลังเล่มเกมทายปัญหาอยู่กับแขก ซึ่งล้วนเป็นแขกของโฮสเทล ผู้ร่วมเล่มเกมต้องตอบคำถามลงในกระดาษที่ได้รับแจกเพื่อนับแต้มแข่งกันผมเข้ามาตอนที่เกมดำเนินไปใกล้จะจบแล้ว
ในบาร์นี้มีกิจกรรมสนุกอีกหลายอย่าง มีเกมหยิบแท่งไม้ที่เรียงกันเป็นรูปตึกสูงออกทีละชิ้น เกมคนเมาตอกตะปู ใครตอกผิดหรือตะปูงอต้องกินเบียร์ มีโต๊ะพูลกลางร้านสำหรับนักแม่นหลุมที่หน้าเคาน์เตอร์บาร์เขียนไว้ว่า “อาจจะมีการสาดน้ำออกมาจากบาร์เมื่อไหร่ก็ได้ แต่คุณห้ามสาดน้ำเข้าไปในบาร์” หนุ่มสาวคู่หนึ่งจูบปากกันอยู่เป็นที่สนใจของใครหลายคนดูไปคล้ายๆ ทอมตัวเล็กจูบกับเกย์ตัวใหญ่
ผมรู้สึกว่ากินเบียร์ไม่อร่อยเลย เริ่มจามและน้ำมูกไหล จึงขึ้นห้องนอน เมื่อตื่นเช้าก็พบว่าไข้ขึ้นและป่วยสมบูรณ์แบบ
ด้านหน้าของพระราชวังฮอฟบวร์ก มุมมองจาก Michalerplatz
อย่างไรก็ตาม ผมจำเป็นต้องเช็กเอาต์ในเวลา 11 โมง หลังจากพยายามจองโฮสเทลแห่งนี้เพื่อพักต่ออีกวัน เว็บไซต์รับจองทั้ง booking.com และ agoda ต่างระบุว่าเต็ม จึงนำกระเป๋าไปฝากในห้องรับฝากหลังเคาน์เตอร์รีเซ็พชั่น แล้วซื้อคูปองอาหารเช้าของโฮสเทล ราคา 4.5 ยูโร แบบกินไม่อั้น ซึ่งคงจะคุ้มค่ามากหากว่าไม่ป่วย
เวลานั้นพนักงานเริ่มเก็บกวาดร้านอาหารแล้ว ผมกินไข่ต้มไป2 ฟอง, ขนมปังราดน้ำผึ้ง, ส้ม1 ใบ และน้ำส้ม1 แก้วกินเสร็จก็ไปนั่งกึ่งนอนหาจองที่พักจากโทรศัพท์มือถือที่ล็อบบี้ ปรากฏว่าที่ WombatCity Hostel แห่งนี้กลับว่างขึ้นมา แถมราคายังถูกลงเหลือ914 บาท (แต่เป็นห้อง 6 คน เมื่อคืนนอนห้อง 4 คน) จึงกดจองแล้วเดินไปบอกรีเซ็พชั่น เพราะหากจองโดยตรงกับโฮสเทลราคาจะสูงกว่าประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์แต่ผมต้องรอพนักงานทำความสะอาดห้องซึ่งจะพร้อมตอนบ่าย 2
แม้ว่าร่างกายจะอ่อนเพลียและมีไข้แต่ทำใจสู้ ออกเดินไปบนถนนกะว่าเดินไปเรื่อยๆ ถึงไหนก็ถึงนั่น ใกล้เวลาเช็กอินค่อยเดินกลับแต่อากาศค่อนข้างร้อน ไปได้ไม่กี่ร้อยเมตรเจอสวนสาธารณะใกล้ๆ สถานีรถไฟใต้ดินที่คลาสสิคสวยงามชื่อ Karlplatz ก็แวะเข้าไปนอนบนม้านั่งในสนามเด็กเล่นที่มีเด็กเล่นอยู่ 2 คนทำให้ไม่รู้สึกกังวลว่าจะมีคนขโมยกล้องถ่ายรูปแต่นอนได้ยังไม่ทันหลับก็ต้องลุกเพราะแดดส่องลอดแผงใบไม้ลงตรงหน้าพอดี
ข้างๆ สวนสาธารณะแห่งนี้คือ Karlskirche (St.Charles Church) โบสถ์โรมันคาธอลิคที่ว่ากันว่ามีความโดดเด่นที่สุดในกรุงเวียนนาหากเทียบกับบรรดาโบสถ์สไตล์บาโร้กด้วยกัน มีสระน้ำรูปวงกลมขนาดใหญ่และลานกว้างอยู่หน้าโบสถ์ ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1739ตามคำสั่งของ “จักรพรรดิชาร์ลส์ที่ 6 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์” ที่ตั้งชื่อโบสถ์ให้พ้องกับชื่อตัวเองและ “นักบุญชาร์ลส์ บอโรมิโอ” อาร์คบิชอปแห่งมิลาน หนึ่งในผู้นำฝ่ายโรมันคาธอลิคที่ทำการต่อต้านนิกายโปรเตสแตนท์ในคริสต์ศตวรรษที่ 16
ชายวัยกลางคนแต่งกายชุดวาทยากรโบราณ (อาจจะตั้งใจให้ดูเป็นโมสาร์ท) เสนอขายตั๋วคอนเสิร์ตซึ่งจะมีการแสดงในโบสถ์แห่งนี้ ผมบอกว่าป่วยเขาจึงไม่ตื๊อ มีกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินผ่านมา เขาเข้าไปขายแต่โทรศัพท์มือถือดังขึ้นพอดี เข้ากดรับแล้วเดินไปคุยในที่ลับตา คงเพราะว่าภาพโมสาร์ทกับการคุยโทรศัพท์นั้นไม่เข้ากันเสียเลย
นึกขึ้นได้ว่าต้องซื้อยากินจึงเดินออกมาจากบริเวณโบสถ์ เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Margaretenstrasa หาร้านที่มีสัญลักษณ์ตัว A ซึ่งย่อมาจาก Apotheke หมายถึงร้านขายยาในภาษาเยอรมัน เมื่อเจอก็เดินเข้าไปซื้อพาราเซตามอล1 แผง 10 เม็ด ราคาประมาณ 100 บาท ยังไม่อยากซื้อยาแก้แพ้มากินเพราะจะง่วงหนักและนอนยาว
กลับถึงที่พักผมก็เช็กอินได้รับคูปองเวลคัมดริงก์อีกใบแต่คิดว่าคงไม่แลกอะไรมาดื่มเข้าห้องพักกินยา 2 เม็ดแล้วนอนหลับไปตื่นมาตอนเย็นอาการดีขึ้นหน่อยก็จองที่พักแห่งใหม่แบบห้องเดี่ยวสำหรับวันพรุ่งนี้เพราะไม่อยากให้เพื่อนร่วมห้องพักที่นี่ติดไข้ ซึ่งโฮสเทลแห่งนี้มีเฉพาะห้องนอนรวมเท่านั้น
ล้างหน้าล้างตาแล้วออกไปนั่งรถไฟใต้ดินไปยังสถานี Museumsquartier ถนนบริเวณนี้ค่อนข้างกว้างใหญ่ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูแผนที่กูเกิลแล้วเดินชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในย่านนี้เริ่มตั้งแต่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ, พระราชวังฮอฟบวร์ก (Hofburg) ที่ใหญ่ยักษ์ เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 มีพื้นที่ส่วนต่างๆ ที่เชื่อมต่อกันมากกว่า 20 ส่วน ปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์เกือบทั้งหมด เช่น พิพิธภัณฑ์ Albertina ที่จัดแสดงภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพถ่าย แปลนก่อสร้างอาคาร และเอกสารต่างๆ นับล้านชิ้น พิพิธภัณฑ์ Neue Burg หรือปีกพระราชวังใหม่ พิพิธภัณฑ์พระราชสมบัติ หอสมุดแห่งชาติ เป็นต้น, พิพิธภัณฑ์ทางธรรมชาติแห่งกรุงเวียนนา
รูปปั้นจักรพรรดินี มาเรีย เทเรซา ตั้งอยู่ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติกรุงเวียนนา
จากนั้นข้ามถนนใหญ่ที่ชื่อ Museumplatz ไปยัง Museumsquartier ศูนย์รวมของพิพิธภัณฑ์ทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัยเกือบ 10 พิพิธภัณฑ์ มีทั้งตึกเก่าสไตล์บาโร้กและอาคารสมัยใหม่ รวมเนื้อที่กว้างขวางถึงกว่า 60,000 ตารางเมตร เริ่มเปิดให้บริการเมื่อปี ค.ศ. 2001 นอกจากจัดแสดงของสะสมและนิทรรศการแล้ว ก็ยังใช้จัดงานเทศกาลและกิจกรรมทางด้านศิลปะวัฒนธรรมอยู่เสมอ
ลานกว้างตรงกลางที่เกิดขึ้นจากการถูกโอบล้อมด้วยอาคารต่างๆ กลายเป็นที่รวมตัวของคนหนุ่มสาว ผมเห็นหลายคนซื้อเบียร์มานั่งดื่มและพูดคุยบนโต๊ะเก้าอี้แบบโมเดิร์นดีไซน์ที่ทางเจ้าของสถานที่จัดไว้ให้ที่นั่งหนุงหนิงโอบกอดพลอดรักกันอย่างเปิดเผยก็มีไม่น้อย
กลับถึงที่พักประมาณ 4 ทุ่ม ถามรีเซ็พชั่นสาวสวยถึงร้านขายยาที่ยังเปิดอยู่เพื่อจะหาซื้อยาแก้แพ้ให้หายจามและหวังจะนอนหลับยาวๆ เธอดูในคอมพิวเตอร์แล้วบอกว่ามีอยู่ร้านหนึ่งในละแวกนี้ที่ยังเปิดอยู่ ให้เดินผ่านตลาด Natchmark ที่อยู่หน้าโฮสเทลไปยังถนนอีกฝั่ง จะเจอถนนซอยอยู่เยื้องๆ ไปทางขวามือเดินเข้าไปนิดเดียวจะเจอ Apotheke อยู่ทางขวามือ เธอยังบอกบ้านเลขที่มาให้ด้วย
ผมเดินไปตามคำบอกทุกประการ ไม่เจอบ้านเลขที่ที่เธอว่าจึงเดินกลับออกมาหน้าปากซอยนั้นแล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปบนถนนใหญ่ เป็นไปได้ว่าเธอให้เลี้ยวขวาตั้งแต่ตอนแรกแล้วเดินตรงไป แต่เดินไปราว200เมตรก็ไม่เจอร้านขายยา เดินกลับมาจุดเดิมที่ข้ามถนนมาจากฝั่งโฮสเทลเจอบริกรสาวชาวเอเชียหน้าร้านอาหารติดถนน เธอไปถามเพื่อนในร้านให้แล้วกลับมาบอกว่าทางที่ผมเพิ่งเดินกลับมาน่ะถูกแล้วแต่ต้องเดินไปอีก ปรากฎว่าผมต้องเดินไปถึงประมาณครึ่งกิโลเมตร และไม่ได้อยู่ขวามือของถนนตามที่รีเซ็พชั่นโฮสเทลบรรยายแต่กลายเป็นฝั่งซ้ายมือ อีกทั้งร้านก็ปิดไปแล้วจำต้องเดินกลับที่พักอย่างชอกช้ำ
ตอนผ่านเคาน์เตอร์รีเซ็พชั่นผมไม่หันไปมองให้เสียความรู้สึกต่อสาวสวยผู้นั้น ขึ้นลิฟต์เข้าห้องพักแล้วกินพาราเซตามอล 2 เม็ดก่อนเข้านอน ต้องตื่นหลายครั้งเพราะไอและน้ำมูกไหลตลอดเวลา แต่จามน้อยลง ไม่อย่างนั้นคงเกรงใจเพื่อนร่วมห้องมากกว่านี้
ผมอัดยาไป 2 เม็ดตอนตี2 กว่าๆ เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้าอีกวัน นอกจากไข้ไม่หายแล้วยังมีอาการปวดท้องเพิ่มมาอีก.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |