(1)
คงต้องสารภาพตรงๆ...ว่าแทบไม่รู้เรื่อง รู้ราว อะไรกับใครเค้าเลย สำหรับเรื่อง ฝุ่นพิษ พีเอ็มสองจุดห้า จุดหก อะไรต่อมิอะไรที่ใครๆ เค้าหยิบยกมาพูดจาว่ากล่าวชนิดฉาวกันไปทั้งบ้านทั้งเมือง ก็เลยไม่ถึงกับรู้สึกวิตก ทุกข์ร้อน เจ็บปวดรวดร้าว ทรมาน อะไรมาก เพราะโดยปกติวันๆ...ก็รับประทาน ควันพิษ ประมาณวันละซอง สองซอง เป็นอย่างน้อย แต่ก็ยังพอไปไหน-มาไหนแบบสบายๆ แม้ว่าบางครั้ง บางครา อาจต้องเดินขาลาก ขาถ่าง เพราะความชราภาพ หรือเพราะแก่แล้ว...
(2)
เท่าที่พอรู้ๆ...หรือเท่าที่พอได้ยิน ได้ฟังอยู่บ้าง ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ใครต่อใครออกมาด่ารัฐบาล ผสมผสานไปกับใครต่อใครที่ช่วยออกมาช่วยด่าผู้ที่ด่ารัฐบาล ชนิดควันโขมงโฉงเฉง ไม่น้อยไปกว่าควันพิษ ฝุ่นพิษ เอาเลยก็ว่าได้ ในฐานะผู้ที่อยู่กลางๆ ไม่คิดจะด่าใคร และไม่คิดจะช่วยใครด่า ก็เลยยิ่งสบายเข้าไปใหญ่ นอนดูหนัง-ฟังเพลง และรับประทานควันพิษอันละเมียดละไม ไปตามประสา ผู้ที่ไม่ต้องเก็บเอาอะไรต่อมิอะไรที่ออกไปทางเร่าร้อน รุนแรง มา ปรุงแต่ง อารมณ์ ความรู้สึก ของตัวเอง ให้ต้องปั่นป่วน วุ่นวาย หรือให้ต้องเดือดร้อนโดยใช่เหตุ...
(3)
คือว่าไปแล้ว...การมีชีวิตอยู่ใน เมืองใหญ่ เมืองที่ต้องวิ่งไล่กวด ทุนนิยม-วัตถุนิยมอย่างมิอาจลดละ จะไปเอาอะไรมากก็คงมิได้ ถึงไม่มีฝุ่น-มีควัน แค่ขับรถออกไปนอกถนน แค่นี้...ก็ตายแล้ว!!! อะไรมันจะเต็มไปด้วยมลพิษ มลภาวะ เต็มไปด้วยบรรยากาศอันไม่น่าสุขกาย สบายใจ สามารถส่งผลในทางลบ ไม่ว่าต่อสุขภาพจิต หรือสุขภาพร่างกายได้ทุกเมื่อ ต้องเจอกับการแซงขวา แซงซ้าย ปาดหน้า ปาดหลัง ชนิดฝ่าเท้า ฝ่าตีน กระตุกไป-กระตุกมาโดยตลอด หรือแม้แต่นั่ง แท็กซี่ ที่มีคนขับให้ก็เถอะอาจต้องเจอกับการเบรก การกระชาก ระดับหัวทิ่มไป-ทิ่มมา โอกาสที่จะอยู่เป็นสุข อยู่สบายๆ แทบเป็นไปไม่ได้...
(4)
หรือมันเต็มไปด้วยบรรยากาศอย่างที่ท่าน มหาตมะ คานธี ท่านเคยปรารภ รำพึง เอาไว้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นแหละว่า เป็นสถานที่ซึ่ง พระผู้เป็นเจ้า ท่านคงไม่คิดจะสิงสถิตอยู่แล้วแน่ๆ ต่างไปจาก หมู่บ้าน ในชนบทอันเงียบสงัด ที่แวดล้อมไปด้วยสภาวะทางธรรมชาติ อันนั้นนั่นแหละ...คือสถานที่ซึ่ง พระผู้เป็นเจ้า หรือ ธรรมชาติ ท่านพร้อมจะดลบันดาลความสุข ความสบาย ไปจนถึงความสงบเย็น ให้กับใครก็ตามที่พร้อมจะลด-ละ-เลิก จากบรรดาสิ่งเร้า สิ่งกระตุ้น ของเมืองใหญ่ ไปแสวงหา คำตอบที่หมู่บ้าน กันแทนที่...
(5)
แต่ในขณะที่ยังไม่อาจลด-ละ-เลิก ไม่อาจ ตัดขาด จากสายใยบางอย่าง บางประการ ที่ทำให้ต้องร่วมสุข ร่วมทุกข์ อยู่ภายใน เมืองใหญ่ อย่างมิอาจปฏิเสธ ก็คงหนีไม่พ้นต้องหัด ทำใจ เอาไว้ให้มากๆ นั่นแหละทั่น ต้องยอมรับสภาพใดๆ ก็ตาม แม้เป็นสิ่งที่ไม่ได้หวัง ไม่ได้ปรารถนา หรือไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง ที่ปรารถนา แต่ทำไงได้...ในเมื่อมันคงต้องเป็นไปตาม ธรรมชาติ ของตัวมัน หรือเป็นไปตามแบบที่ตัวมันเป็นนั่นแล ในเมื่อแต่ละบ้าน แต่ละช่อง มีรถรากันบ้านละ 2 คัน 3 คัน ในเมื่ออยากจะนั่งรถไฟฟ้าให้เร็วๆ เข้าไว้ ในเมื่ออยากเจริญก้าวหน้า ทันสมัยทางวัตถุกันเป็นหลัก ฯลฯ คงต้องยอมดมฝุ่นพิษ ควันพิษ คนละนิด คนละหน่อย กันไปตามสภาพนั่นแหละทั่น...
(6)
ก็เหมือนกับ รัฐบาล นั่นแหละ...โอกาสที่จะหารัฐบาลที่เป็นไปตามความปรารถนา ความต้องการ ของใครต่อใครไปซะทุกสิ่งทุกอย่าง สู้ให้หา หนวดเต่า-เขากระต่าย ยังง่ายกว่าเป็นไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเผด็จการ รัฐบาลประชาธิปไตย ไปจนถึงคอมมูนิสต์ คอมมูหน่อย ก็ตามแต่ ขึ้นชื่อว่า รัฐบาล แล้วล่ะก็ คงไม่ได้ผิดแผก แตกต่าง ไปจากกันกี่มาก-น้อย แค่พอให้ได้อย่างที่ น้าหงา คาราวาน ท่านโพสต์ๆ ไว้เมื่อไม่นานมานี้ ว่าอย่าโกงๆ กินๆ อย่าเอาพวก-เอาพ้องมากมายเกินไปนัก...ก็พอแล้ว หรือแค่ให้พอ อยู่ๆ กันไปได้ ก็ถือเป็นพระคุณอย่างยิ่ง...
(7)
สรุปง่ายๆ ว่า...ชาตินี้-ชีวิตนี้ ว่าไปแล้ว...มันยังมีเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญซะยิ่งกว่าเรื่องใครเป็นรัฐบาล หรือใครจะมาเป็นรัฐบาล ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แค่ต้องเจอกับฝุ่นพิษ ควันพิษ อันเป็นไปตาม ธรรมชาติ ของ เมืองใหญ่ ก็ต้องถือว่าหนักแล้ว อย่าถึงกับต้องไปดูดเอา อารมณ์พิษ มาเก็บกักเอาไว้ในใจ ในความคิด ความรู้สึก ให้ต้องเจ็บปวดรวดร้าว ทุกข์ทรมาน ยิ่งขึ้นไปอีกเลย...
-------------------------------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |