เงินบาทแข็งไปหรือไม่ ขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกใน 7 ปีด้วยเหตุผลอันใด?
รัฐมนตรีคลัง อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ บอกนักข่าววันก่อนว่าค่าเงินบาทแข็งขึ้นตามลำดับ ล่าสุดมาอยู่ที่ 31.46 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ
ท่านบอกว่าเป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะดูแลไม่ให้เงินบาทแกว่งตัวมากเกินไป และต้องปรับสมดุลให้เงินบาทอยู่ในระดับเดียวกับค่าเงินของประเทศคู่แข่งของไทย เพราะถ้าหากเงินบาทแข็งค่าเกินไป ผู้ส่งออกจะเสียเปรียบคู่แข่งในเวทีการค้าโลก
อีกข่าวหนึ่งบอกว่าเพราะบาทแข็งขึ้นทำให้การส่งออกข้าวลดลง ปีนี้เหลือเพียง 9.5 ล้านตัน และถูกคู่แข่งแย่งชิงตลาดไป
ผมเจอท่านผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ดร.วิรไท สันติประภาพ วันก่อนจึงต้องถามประเด็นเรื่องเงินบาทแข็งไปหรือไม่
ท่านตอบผมว่า "ค่าเงินบาทเป็นเหรียญสองด้าน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยในประเทศที่เราควบคุมได้ ขณะนี้ค่าเดินดอลลาร์อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินทุกสกุล ถ้ามองตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เงินของตลาด emerging markets หลายตลาดก็แข็งค่ากว่าเงินบาท เช่นเงินรูเปียของอินโดฯ ก็แข็งค่าค่อนข้างเร็ว..."
ดร.วิรไทบอกว่าค่าเงินบาทขณะนี้ก็ยังอ่อนกว่าเมื่อต้นปีที่แล้ว
"นักธุรกิจต้องอย่าชะล่าใจว่าจะมีใครมากำหนดค่าเงินให้ได้ ไม่มี เพราะมันถูกกำหนดโดยปัจจัยภายนอกเยอะมาก ดังนั้นนักธุรกิจจึงต้องเห็นความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน"
ดร.วิรไทเสริมว่า "ผมไม่อยากให้เราไปให้ความสำคัญกับที่ว่าอัตราแลกเปลี่ยนควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ บางทีเมื่อเราพูดถึงค่าเงินก็อาจจะมีบางคนพูดว่า 32 ดี หรือ 33 ดี หรือ 31 ดี เพราะเราต้องเปรียบเทียบกับบริบทหลายอย่าง ที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้พยายามทำหลายเรื่องที่จะทำให้การบริหารความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนดีขึ้น เพื่อให้เรามีภูมิต้านทานระดับที่มีความผันผวนได้สูง ตัวอย่างเช่นแทนที่จะใช้เงินสกุลดอลลาร์ในการ quote ราคาส่งออกสินค้าไปขายประเทศอื่น เราก็ส่งเสริมให้ตลาดเงินบาทกับเงินสกุลคู่ค้าเราเช่นเยนของญี่ปุ่นให้มากยิ่งขึ้น หรือการค้าขายของเรากับประเทศเพื่อนบ้านเช่นมาเลเซียก็น่าจะใช้เงินบาทกับริงกิตมากกว่า"
เหตุผลของการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้คืออะไร?
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพิ่งมีมติให้ขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกใน 7 ปี
ดร.วิรไทอธิบายว่าเป็นการปรับขึ้นจากระดับ 1.5% มา 3 ปีเศษ
"เราประเมินอยู่แล้วว่าเศรษฐกิจโลกในปีใหม่นี้จะขยายตัวน้อยกว่าปีก่อน คณะกรรมการ กนง. พิจารณาประกอบหลายๆ ด้าน แต่โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี การตัดในนโยบายก็เช่นกัน ต้องมีอะไรแลกกับอะไรบางอย่างเสมอ ต้องชั่งน้ำหนักกับปัจจัยต่างๆ ..." ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติอธิบาย
ปัจจัยหลักที่ใช้พิจารณาประกอบมี
1.ทิศทางเงินเฟ้อ โดยยึดนโยบายกรอบเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น
2.การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย เป็นไปตามศักยภาพของเศรษฐกิจไหม
3.เสถียรภาพของระบบการเงิน
"อีกด้านหนึ่งก็ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างเรื่องระยะสั้นกับระยะยาว ยามปกติจะไม่มีใครเห็นความสำคัญของเสถียรภาพ แต่พอเกิดวิกฤติจะมีการถามว่าทำไมไม่ทำตอนนั้นตอนนี้"
หน้าที่ธนาคารกลางจึงต้อง "มองยาว มองไกล" และให้ความสำคัญกับเสถียรภาพระยะยาว
เงินเฟ้อไทยในปีที่ผ่านมากลับเข้าสู่ "กรอบเป้าหมาย" และต่ำกว่าขอบล่างของ 1-4% แต่ไม่น่าเป็นห่วงเพราะการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังไปได้ดี โดยปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 4.0-4.2% ปีนี้ประมาณว่าอยู่ที่ 4% หรืออาจจะลบเล็กน้อยขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจโลก
ผลข้างเคียงที่คงนโยบายดอกเบี้ยต่ำกระทบต่อเสถียรภาพการเงินได้เช่นกัน หลายประเทศก็ต้องปรับให้ดอกเบี้ยอยู่ในอัตราที่เป็นปกติหรือ normalization of monetary policy
นโยบายดอกเบี้ยต่ำนานๆ ทำให้คนก่อหนี้เกินตัว ทั้งหนี้ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคครัวเรือน
"ในกรณีประเทศไทย หนี้ภาคครัวเรือนอยู่ในระดับสูงจนเกิดปัญหาทั้งในครัวเรือนเอง และในระดับประเทศการบริโภคก็ไม่ฟื้นตัวเท่าไหร่เพราะประชาชนมีหนี้อยู่มาก และเมื่อดอกเบี้ยต่ำก็ไม่มีแรงจูงใจให้ออม..."
ดร.วิรไทบอกว่า ในการวางนโยบายอัตราดอกเบี้ยต้องดูแลทั้งผู้กู้และผู้ออม
การที่ดอกเบี้ยต่ำนานๆ ทำให้เกิดกรณีแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นหรือ search for yield ซึ่งทำให้ไม่ประเมินความเสี่ยงเท่าที่ควร และกลายเป็นปัญหา
และเกิดพฤติกรรม "ธนาคารเงา" ขึ้น
เมื่อเร็วๆ นี้ก็เกิดปัญหาตราสารหนี้ที่เกิด default ไม่สามารถจ่ายได้ตามกำหนด เพราะคนไปลงทุนได้ผลตอบแทนสูงขึ้น 4-5% "โดยไม่ถามว่าเขาเอาเงินเราไปทำอะไร"
ถ้าดอกเบี้ยต่ำนานๆ บางคนอาจไปกู้เงินมาแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าด้วยซ้ำไป
บทสนทนาที่วังบางขุนพรหมวันนั้นสรุปได้สั้นๆ ว่าปีใหม่นี้เตรียมรับความผันผวนกันทั่วหน้า!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |