'ฝุ่นพิษที่ฟุ้งเข้าตารัฐบาล'


เพิ่มเพื่อน    

    "ปัญหา"...........
    ไม่ได้มีไว้ให้ "ผู้บริหาร" ใช้พูดประชด อย่างเช่นปัญหา "ฝุ่นพิษ" ตลบเมืองเวลานี้ 
    มันมีให้ "แก้" 
    ยิ่งวิกฤติเฉพาะหน้าอย่างนี้ด้วยแล้ว "เก็บคำพูด" แล้วลงมือทำเถอะ 
    อย่ารอให้ขงเบ้งกั้นม่านเจ็ดชั้น บริกรรมคาถาเรียกฟ้า-เรียกฝนมาหอบฝุ่นอยู่เลย
    "ทำ" ในทางลงมือ....
    เพื่อให้ชาวบ้านรู้ว่า เมื่อพวกเขาจมฝุ่น ใช่ว่าผู้บริหารที่เขาฝากความหวัง คือ "นายกฯ ประยุทธ์" ไม่อินังขังขอบ
    ตรงกันข้าม เมื่อชาวบ้านอกไหม้ นายกฯ ก็ไส้ขมด้วย หามรุ่ง-หามค่ำ "ทำทุกทาง" เพื่อให้ฝุ่นจาง ฟ้าใส
    แต่ก็นั่นแหละ 
    ผ่านไปแต่ละวัน นอกจากไม่เห็นอะไรที่เป็น "ปัญญาเก่า-ปัญญาใหม่" จากทางภาครัฐ ออกมา "ทำ" ให้เห็นว่า "พยายาม" ด้วยเอาใจใส่
    นอกจากนายกฯ ออกมาใช้อารมณ์ผสมคารมไปเมื่อวาน (๓๐ ม.ค.๖๒)
    เรื่อง "มลพิษภาวะ" ไม่ใช่เรื่องชี้หน้าโทษใครฝ่ายใด-ฝ่ายหนึ่ง
    โทษรถเมล์ รถบัส รถบรรทุก รถบ้าน รถแท็กซี่ รถมอเตอร์ไซค์ รถเก่า-รถใหม่ รถก่อสร้าง เตาปิ้ง-ย่าง ผัดอาหารตามถนน โรงงานและ ฯลฯ
    โทษใครไม่ได้หรอก 
    เพราะ "ทั้งหมดด้วยกัน" นั่นแหละ ที่ต้องโทษ!
    คือ "ทั้งหลวง-ทั้งราษฎร์"
    บาปบริสุทธิ์ด้วยฝุ่นพิษนี้ "ทุกคน-ทุกฝ่าย" ล้วนเป็นตัวการร่วม ทำให้มันเป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้!
    ในภาพรวม ทุกคนเข้าใจ ว่าเมืองใหญ่ "ทุกเมือง" ในโลก ล้วนต้องเผชิญปัญหามลพิษคลุมเมืองมาก่อนทั้งนั้น
    มันคือด่านแห่งการพัฒนาที่ต้องผ่าน
    "เสีย" ที่ต้องรับ 
    เพื่อแลกกับ "ได้" ในความหมาย การพัฒนา, การเติบโต, การลอกคราบ ของ "สังคมเมือง" จากยุคหนึ่ง ไปสู่อีกยุคหนึ่ง!
    นั่นคือ ความจริงที่ต้องทำความเข้าใจร่วมกัน ว่าปัญหาที่เกิดวันนี้
    มันไม่ใช่เพิ่งเกิด หรือจะพล่อยว่า ประชาธิปไตยไม่เกิด เพราะเผด็จการ จึงเกิด มันก็มากไป
    ที่เป็นวันนี้ มันเกิดสะสมมาแต่ละยุคในความเป็นสังคมมนุษย์ โดยเฉพาะสังคมเมืองใหญ่
    ส่วนจะถึงจุดวิกฤติยุคไหน-วันไหน มันมีเหตุปัจจัยเป็นตัวแยก-ตัวประกอบมากมาย
    สรุปว่า อย่ามัวโทษมึง-โทษกู หรือเอะอะ โวยวายอย่างเดียวเลย
    แยกประเด็นปัญหาวิกฤตินี้เป็น ๒ ส่วน เถอะ
    ส่วนวิกฤติเฉพาะหน้า มีมาตรการใด ทำเลย
    ถึงไม่ได้ผลทาง "ลดฝุ่น"
    แต่ได้ผลทาง "จิตใจ" อย่างน้อย ก็รับรู้ว่า รัฐบาลรู้สุข-รู้ทุกข์ชาวบ้านและทำทุกวิถีในทาง "คืนความสุข" ให้ประชาชน 
    ในส่วนทางยาว....
    มันยาวและยากจริงๆ ที่จะแก้มลพิษให้สำเร็จวันนี้-วันพรุ่ง
    แต่ไม่ยากเกิน หากแต่ต้องจริงจัง เคร่งครัดในมาตรการปฏิบัติ ทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายราษฎร์
    ตรงนี้แหละที่ "ยากมาก" ในเรื่องเข้มงวดด้านระเบียบ-วินัย-กฎหมายกับคนไทย ซึ่งชินกับระบบอุปถัมภ์ ระบบใต้โต๊ะ ระบบอิทธิพล
    ประเด็นระยะยาว ไม่ต้องพูด เหตุจากตรงไหน ควรแก้ตรงไหน ทุกคนรู้อยู่แล้ว
    ที่ต้องพูดกันวันนี้ ก็ปัญหาเฉพาะหน้านี่แหละ และการแก้ บอกก่อนเลย
    จะเอาแบบ "แก้ได้ทันตาเห็น" 
    "จะไม่เห็น"
    แต่ถ้าภาครัฐ "กระดิก" ทำให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ ทัศนคติเชิงลบจากชาวบ้านต่อภาครัฐ "ลดลง"
    จะได้เห็น!
    กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยก็มี กรมควบคุมมลพิษก็มี กรมการขนส่งฯ ก็มี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็มี ฯลฯ
    เรียกว่า หน่วยงาน, คน, งบ, เครื่องมือ เพื่อรับมือ ป้องกัน-แก้ไข ด้านมลพิษ ด้านสิ่งแวดล้อม มีหมด
    เว้นอย่างเดียว ที่ไม่มี คือ
    "กึ๋น" ประกอบจิตสำนึกด้านรับผิดชอบ ในความเป็น "บุคลากรคุณภาพ"
    เรื่องมลพิษคลุมเมืองนี่ มันหลายวันแล้วนะ ไม่ใช่เพิ่งเกิด ไม่ต้องพูดแก้ทางยาว 
    เอาเฉพาะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งมันมีผลด้านจิตใจสูงที่ต้องตระหนัก นี่แหละเป็นความเร่งด่วนที่ต้องทำ
    มันเป็นงานที่แต่ละหน่วยงานต้องรู้ร้อน-รู้หนาว ไม่ใช่ถึงขั้นปล่อยให้ "ระดับนายกฯ" ต้องออกมาหัวเสีย
    ที่ผ่านมา ดูเหมือน ออกมาวัดอากาศแต่ละวัน แค่นั้น...จบ
    มันไม่น่าเป็นอย่างนั้น และเอะอะ...ประชุม..ประชุม ทำให้แอร์พ่นมลพิษเพิ่มเปล่าๆ 
    ถึงวันนี้ มันเลยขั้นประชุม ไปถึงขั้นปฏิบัติการโน่นแล้ว!
    ยุคนี้ ไหนว่า เป็นยุคนวัตกรรม ๔.๐?
    ทั้งภาครัฐ "คนเดียวก็ไม่มี" ที่จะคิดหาวิธีการมารับมือฝุ่นพิษในอากาศและความรู้สึกแย่ๆ ในอารมณ์คนเลยเชียวหรือ?
    หรือว่า "ธุระไม่ใช่-นายไม่สั่ง"?
    ผมย้ำว่า "แก้ได้-ไม่ได้" ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่ว่า ภาครัฐ "กระตือรือร้น" ต่อปัญหามลพิษน้อยไป
    เสียอะไรก็พอว่า ถ้าประชาชน "เสียความรู้สึก" นี่เรื่องใหญ่!
    จะยกตัวอย่างปัญหาให้คิด
    กรณี "๑๓ หมูป่าติดถ้ำ" ทั้งโลก ไม่มีสูตร ไม่มีตำรา รับมือปัญหา โดยเฉพาะด้าน นำ ๑๓ หมูป่าลอดรูออกจากถ้ำ
    เผอิญ "ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์" ผู้บัญชาการสถานการณ์ขณะนั้น
    มี "กึ๋น"!
    ร้อยวิธีที่มี-ที่คิดใช้ มันก็คือร้อยความหวังของคนทั้งโลก แม้มันเป็นวิธีที่ไม่ใช่ ไม่สามารถนำ ๑๓  หมูป่าออกมาได้ หลายครั้ง-หลายวัน ก็จริง
    แต่การไม่นิ่งแบบจนมุม-จำยอมต่อปัญหา พยายามต่อไม่ลดละ ผิดบ้าง-ถูกบ้าง ตรงนี้ ไม่มีใครว่า  มีแต่ชื่นชม และเชียร์
    ในที่สุด ปัญหาและสถานการณ์ มันก็สอนทฤษฎี-วิธีการใหม่ๆ ในการนำคนลอดรูออกจากถ้ำได้
    นั่นคือ "กึ๋น" ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ ในความพยายามบนฐานคำว่า "เป็นทีม"!
    แล้วย้อนดูปัญหามลพิษขณะนี้
    เห็น "กึ๋น" และ "ความพยายาม" บนคำว่า "เป็นทีม" จากใคร-หน่วยงานไหนบ้าง?
    อยากถามว่า "อายชาวบ้านเขาบ้างไหม?" ที่เมื่อวาน ผมดูข่าว ขอโทษ..จำชื่อไม่ได้
    ที่สมุทรสาคร หรือมหาชัย คุณลุงกับลูกสาวท่าน ไม่เกี่ยง-ไม่โทษ-ไม่รอรัฐช่วย
    ด้วย "ปัญญาชาวบ้านประดิษฐ์" คุณลุงคิดและทำเครื่องพ่นละอองน้ำขนาดยักษ์ ติดตั้งแล้วพ่นน้ำเป็นละอองขึ้นไปฆ่าฝุ่นในอากาศ
    ก็รู้ ว่าไม่สามารถฆ่าฝุ่นที่คลุมมหาชัยได้
    แต่ "ซึ้งใจ" น่ะ...
    ความซึ้งนั้น มันฆ่าความรู้สึกแย่ๆ ให้เกิดความรู้สึกดีๆ ว่า "ผู้ยิ่งใหญ่" นั้น คือชาวบ้าน "สามัญชนต่ำศักดิ์" ผู้เข้าถึงคำว่า ปัญหาสังคม คือปัญหาของคนทุกคนที่ต้องช่วยกัน
    ไม่ใช่เอาแต่โทษรัฐ-รอรัฐไปทุกเรื่อง!
    พูดแล้วก็ต้องชม "พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง" ผู้ว่าฯ กทม.เขาด้วย
    แต่เชื่อเหอะ ตอนนี้ คงถูก "กูรูหน้าจอ" สับเละไปแล้ว ที่จะใช้โดรน ๕๐ ตัว ขึ้นบินพ่นน้ำผสม "กากน้ำตาล" จับฝุ่นในอากาศ
    แถลงไปเมื่อวาน ผมชอบประโยคที่ท่านบอกว่า
    "ยอมรับ...แม้สิ่งที่ทำ อาจไม่ช่วยลดปัญหาได้ ๑๐๐% แต่ยังดีกว่าไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย"
    ถูกต้องที่สุด "ลงมือทำ" ดีกว่าไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย!
    มันอาจเป็นเรื่องใหม่ "สำหรับเมืองไทย" ฟังปุ๊บ มนุษย์ประเภท "ค้านไว้ก่อนพ่อสอนไว้" คงออกมาถล่ม
    ไปเอาความคิดพิเรนทร์นี้มาจากไหน น้ำตาลไม่ลงหัวเลอะเนื้อ-เลอะตัวชาวบ้านเขาหมดหรือ?
    อีกอย่าง ทั้งรถ-ทั้งถนน ไม่กลายเป็น "ถนน-รถเชื่อมน้ำตาล" หรือ?
    ใช้น้ำตาลจับฝุ่น เป็นเรื่องสากล เพื่อต้องได้ในทางหลักก็ต้องเสียบ้างในทางรอง
    แต่ทางผู้ว่าฯ บอก เตรียมรถล้างไว้แล้ว คือล้างทันที ทั้งรถ-ทั้งถนน
    แต่ก่อนขึ้นพ่น ผมว่าประกาศพื้นที่ครอบคลุม วันและเวลาให้ประชาชนทราบก่อนก็จะดี 
    จับฝุ่นตกลงมาลงถนน ลงหลังคารถบ้างพอไหว แต่ถ้าลงเสื้อผ้าและตัวคน จะหนึบหนับทีเดียว!
    ก็ต้องระวัง เรื่องฝุ่นพิษ ผสมกับที่ต้องปิดโรงเรียน-ปิดมหา'ลัย มันจะถูกลากเป็นประเด็นการเมืองยำรัฐบาล
    ผมว่า ควรตั้ง "แม่งาน" ซักคน 
    เอาประเภท "คิดนำ-พูดนำ-ทำนำ" เป็น มาทำหน้าที่ในภาษาราชการที่เรียกว่า "บูรณาการ" นั่นแหละ
    วิธีใดก็ได้ ที่ทำให้ชาวบ้านเห็น "ภาครัฐ" เคลื่อนไหวในทางแก้ปัญหา จงรีบทำ
    ทำผิดๆ ยิ่งดี........
    เพราะ "ท่านผู้รู้" เห็นแล้ว อดรน-ทนไม่ได้ เดี๋ยวก็จะออกมาช่วยแนะ "วิธีที่ถูก" กันเอง.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"